โดย มันทนา กันสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง
ข้าวนึ่งคนเมือง : ข้าวเหนียวคนลาว โดยความหมายแล้ว ก็คือ ข้าวเหนียวที่เรารู้จักกันนั่นเอง แต่การเรียกชื่อ ได้เรียกกันตามภาษาถิ่นของแต่ละพื้นที่ ข้าวเหนียวถือได้ว่าเป็นอาหารหลักของคนเหนือและคนอีสาน เพราะข้าวเหนียวรับประทานแล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน ไม่หิวบ่อย แต่การรับประทานมากเกินไป จะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้
เคยมีคนตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับข้าวเหนียว จึงขอนำเสนอความรู้เพื่อประกอบ เช่น
๑. “ทำไมข้าวเหนียวจึงเหนียวกว่าข้าวเจ้า” ก็เพราะ ข้าวเหนียวและข้าวเจ้านั้นมีส่วนประกอบสำคัญคือแป้งหรือ starch คือเป็น กลูโคสโพลีเมอร์ แบบหนึ่ง แต่ แป้งข้าวเหนียวนั้นประกอบด้วยสารที่เรียกว่า อะมิโลเพกติน ทั้งหมดหรือเกือบหมด อะมิโลสนี้ทำให้ข้าวเหนียวเกาะตัวกันเป็นก้อนเมื่อเคี้ยว แตกต่างไปจากข้าวเจ้าซึ่งมีอะมิโลสน้อยกว่า
๒. “ข้าวเหนียวมีโปรตีนมากกว่าข้าวเจ้าใช่หรือไม่” คำตอบคือไม่ได้มีมากกว่า ทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้านั้นมีโปรตีนอยู่ในเมล็ดข้าวด้วยในราว 6 - 8 % แต่ข้าวเหนียวบางพันธุ์อาจจะมีมากหน่อยถึง 11% แต่ก็ไม่จัดว่ามากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามข้าวที่มีเมล็ดสีแดงหรือน้ำตาลนั้นโดยปกติจะมีโปรตีนสูงกว่าข้าวที่มีเมล็ดสีขาว
๓. “ข้าวเหนียวมีผลร้ายต่อคนเป็นโรคเบาหวานหรือไม่” คำตอบคือคาร์โบไฮเดรตนั้นล้วนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดต่างกัน นักโภชนาการได้กำหนดดัชนีน้ำตาลไว้ว่า ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงกว่า 70 สำหรับข้าวเจ้านั้นมีค่าดัชนีน้ำตาล 71 และ ข้าวเหนียว 75 จัดว่าสูงด้วยกันทั้งคู่ แต่ข้าวเหนียวสูงกว่าเล็กน้อย สำหรับข้าวกล้องของทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียวมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขัดสีพันธุ์เดียวกัน ดังนั้นจึงควรรับประทานข้าวกล้องมากกว่าข้าวที่ขัดสีแล้ว
ไม่ว่าข้าวเหนียวนึ่งจะมีผลดีหรือผลร้ายต่อผู้บริโภคแค่ไหน วัฒนธรรมการกินข้าวเหนียวก็ไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะความคุ้นเคย หรือความอร่อย หอมนุ่มลิ้น ยิ่งถ้ามาเจอกับหมูปิ้งร้อน ๆ ด้วยแล้ว โอ้ย !! สุดยอดไปเลย ... ดังนั้นถ้าเราต้องการสร้างวัฒนธรรมการกินข้าวเหนียวสำหรับคนไทยแล้ว ควรแนะนำให้รับประทานอย่างถูกวิธี นั่นคือ รับประทานแต่พออิ่ม ไม่ควรรีบร้อนเกินไป เพราะอาจจะติดคอได้ และด้วยเหตุที่ข้าวเหนียวอิ่มทนนานกว่าข้าวเจ้า และให้พลังงานสูง(มาก) เมื่อกินแล้ว ออกแรงน้อยกว่าพลังงานที่รับเข้าไป แป้งจากข้าวเหนียวก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและไขมันสะสมฉะนั้น ควรกินแต่พออิ่ม และใช้พลังงานให้เหมาะสม บ่ต้องสะสมเหมือนสตางค์นะเจ้า...มันจะอ้วน...::)
ที่มา : เกร็ดความรู้เรื่องข้าวเหนียว ของท่านราชบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร. กฤษณา ชุติมา(http://www.drkanchit.com/index.html)
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553
มี บุคลิกภาพ อย่างไร จึงจะดึงดูดใจ...ใครสักคน
โดย......รัตนา เกิดเวียงใหม่
คน เราชอบดูกันเพียงภายนอก ผิวเผินแล้วชอบด่วนตัดสินใจว่าคนนี้ คนนั้นเป็นคนดี คนไม่ดีบุคลิกภายนอกเป็นเพียงภาพที่เห็นแต่ก็เป็นภาพที่สำคัญที่จะสร้างความประทับใจในครั้งแรกที่ได้พบ บุคลิกภาพที่ดีจะต้องสะท้อนออกมาจากจิตใจที่ดีงามเรียกว่าเป็นบุคลิกภายใน การมีจิตใจที่ดีงาม เรียกว่าเป็นบุคลิกภายในการมีจิตใจดี จึงเป็นสิ่งที่จะสะท้อนออกมาเป็นบุคลิกภาพภายนอกที่ดูแล้วน่าคบหาสมาคมน่าเป็นมิตรและจะเป็นบุคลิกภาพที่ดูงามสง่าและยั่งยืน
- บุคลิกภาพที่ดี เริ่มตั้งแต่การแต่งตัวดีเหมาะสมกับกาลเทศะ
- การวางตัวดี การวางตัวเป็นสิ่งสำคัญบางคนมีมนุษย์สัมพันธ์มากไปชอบพูดเจื้อยแจ้วไม่มีกาลเทศะถ้าทำตัวแบบนี้ก็จะไม่ค่อยมีคนเกรงใจบางครั้งก็จะดูน่ารำคาญเกินไปด้วยซ้ำ
- การพูด เวลาพูดจะต้องมีชีวิตชีวา พูดจาไพเราะ น้ำเสียงต้องมีน้ำหนัก มีเสียงต่ำเสียงสูงบ้างพอควร ใช้สายตากับคู่สนทนาและเอาใจใส่ในการพูดคุยแววตาจะต้องเป็นประกาย เมื่อพูดเรื่องน่ายินดีไม่ยักไหล่จะดูไม่สุภาพ
- การนั่ง จะต้องนั่งให้เต็มเก้าอี้ เพราะเวลานั่งหลังจะรับน้ำหนักเต็มที่ ดังนั้นเวลานั่งจะต้องนั่งตัวตรง และพิงพนักเก้าอี้ให้เต็มที่จึงจะผึ่งผายและไม่ปวดหลัง
- การเดิน จะต้องอกผายไหล่ผึ่งดูกระฉับกระเฉงว่องไว แสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง แต่ละคนจะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไปลอกเลียนกันไม่ได้แต่หัดกันได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะตั้งโรงเรียนสอนบุคลิกภาพกันทำไม การที่จะมีบุคลิกภาพอย่างไรนั้นอันที่จริงมันฝังตัว หยั่งรากลึกมาตั้งแต่วัยเด็กเช่นถ้าพ่อแม่ขี้โมโหเด็กจะมีนิสัยอารมณ์ร้อน หงุดหงิดตามพ่อแม่ไปด้วยถ้าเด็กอยู่ในครอบครัวที่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำมีการตบตี ทำร้ายกัน หรือพ่อแม่เลิกกัน เด็กบางคนจะกลายเป็นคนก้าวร้าว เด็กบางคนไม่สามารถปรับตัวได้จะรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเองไม่ได้รับความอบอุ่น และจะเรียกร้องความสนใจด้วย พฤติกรรม ต่าง ๆ บางคนหลงผิดก็หันไปหายาเสพติดทำให้เสียอนาคต
วิธีพัฒนาบุคลิกภาพตัวเอง
แม้ว่าบุคลิกภาพ จะถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เกิด แต่ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงพัฒนาสามารถทำได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้
ประเมินข้อดีข้อเสียของตนเองยอมรับว่าเรามีข้อบกพร่องแม้จะยาก เพราะทุกคนย่อมคิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว แต่การยอมรับก็ไม่ต้องไปป่าวประกาศให้ใครทราบ เรายอมรับในใจของเราเอง แล้วค่อย ๆ ปรับปรุงตนเองไปทีละเล็กละน้อยโดยสำรวจตัวเองในด้านต่าง ๆ ดังนี้
บุคลิกภาพทางกาย เช่น รูปร่างหน้า ผิวพรรณซึ่งเป็นบุคลิกภาพภายนอก ถ้าผิวพรรณคล้ำอยากขาว ก็ใช้ครีมที่โฆษณาทำให้ผิวขาวมีมีหลากหลายยี่ห้อ ใช้บ่อย ๆ หน้าก็จะนวลเช้งผิวพรรณก็จะดีไปเองแต่ต้องเลือกดูให้เหมาะสมกับตัวเราเองด้วยไม่อย่างนั้นแทนที่จะสวยกลับยิ่งแย่ การแต่งกายต้องสะอาดเรียบร้อย แต่งให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น แต่งกายไปทำงานหรือแต่งกายไปงานกลางคืนก็จะแต่งไม่เหมือนกัน มีการเดินที่สง่างาม จังหวะการเดินสม่ำเสมอ
บุคลิกภาพทางอุปนิสัยหัดให้เป็นเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ อ่อนโยน สุภาพ มีเมตตา รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักให้อภัย ให้ทาน ประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรม มีความรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ทำไปเรื่อย ๆ จะเคยชินติดเป็นนิสัยและจะมีบุคลิกภาพเป็นคนใจดีน่าคบหาสมาคมไปได้เอง
บุคลิกภาพทางอารมณ์จะต้องหัดเป็นคนที่มีอารมณ์เยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียว สุขุมรอบคอบ ไม่อ่อนไหว กับเรื่องอะไรง่าย ๆ จิตใจมั่นคง ไม่หูเบาจะทำให้เป็นคนที่รักของคนรอบข้าง
บุคลิกภาพทางสังคม จะต้องรู้จักสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มีมนุษย์สัมพันธ์ดีไม่มองคนในแง่ร้าย รู้จักพุดคุยตามวาระและโอกาส รู้จักวางตัวจะทำให้เป็นคนบุคลิกดี เป็นที่น่านับถือ
บุคลิกภาพทางสติปัญญา ข้อนี้สำคัญมากการที่เราจะมีความสามารถได้ในหลาย ๆ ด้าน จะต้องรู้จักค้นคว้า หาความรู้ใส่ตนเอง ตามที่เราถนัดและสนใจเพื่อเป็นส่วนประกอบให้เราดูมีบุคลิกที่น่านิยมส่งเสริมให้เรามีคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และเกิดความมั่นใจ ความรู้ความสามารถ จะสร้างเสริมความเชื่อมั่นให้กับตนเอง
พึงระลึกไว้เสมอว่าบุคลิกภาพ เป็นคุณสมบัติเฉพาะบุคคลและบุคลิกภาพที่ดีที่สุดก็ไม่มี มีแต่ว่าจะทำให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นได้อย่างไรต่างหาก
แต่อยากกระซิบว่าเราต้องมีความมั่นใจ ที่จะพัฒนาตัวเราเองให้มีบุคลิกภาพที่ดูดีผู้พบเห็น ไม่ใช่ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตนเอง คิดแค่นี้สุขใจก็พอแล้ว
คน เราชอบดูกันเพียงภายนอก ผิวเผินแล้วชอบด่วนตัดสินใจว่าคนนี้ คนนั้นเป็นคนดี คนไม่ดีบุคลิกภายนอกเป็นเพียงภาพที่เห็นแต่ก็เป็นภาพที่สำคัญที่จะสร้างความประทับใจในครั้งแรกที่ได้พบ บุคลิกภาพที่ดีจะต้องสะท้อนออกมาจากจิตใจที่ดีงามเรียกว่าเป็นบุคลิกภายใน การมีจิตใจที่ดีงาม เรียกว่าเป็นบุคลิกภายในการมีจิตใจดี จึงเป็นสิ่งที่จะสะท้อนออกมาเป็นบุคลิกภาพภายนอกที่ดูแล้วน่าคบหาสมาคมน่าเป็นมิตรและจะเป็นบุคลิกภาพที่ดูงามสง่าและยั่งยืน
- บุคลิกภาพที่ดี เริ่มตั้งแต่การแต่งตัวดีเหมาะสมกับกาลเทศะ
- การวางตัวดี การวางตัวเป็นสิ่งสำคัญบางคนมีมนุษย์สัมพันธ์มากไปชอบพูดเจื้อยแจ้วไม่มีกาลเทศะถ้าทำตัวแบบนี้ก็จะไม่ค่อยมีคนเกรงใจบางครั้งก็จะดูน่ารำคาญเกินไปด้วยซ้ำ
- การพูด เวลาพูดจะต้องมีชีวิตชีวา พูดจาไพเราะ น้ำเสียงต้องมีน้ำหนัก มีเสียงต่ำเสียงสูงบ้างพอควร ใช้สายตากับคู่สนทนาและเอาใจใส่ในการพูดคุยแววตาจะต้องเป็นประกาย เมื่อพูดเรื่องน่ายินดีไม่ยักไหล่จะดูไม่สุภาพ
- การนั่ง จะต้องนั่งให้เต็มเก้าอี้ เพราะเวลานั่งหลังจะรับน้ำหนักเต็มที่ ดังนั้นเวลานั่งจะต้องนั่งตัวตรง และพิงพนักเก้าอี้ให้เต็มที่จึงจะผึ่งผายและไม่ปวดหลัง
- การเดิน จะต้องอกผายไหล่ผึ่งดูกระฉับกระเฉงว่องไว แสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง แต่ละคนจะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไปลอกเลียนกันไม่ได้แต่หัดกันได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะตั้งโรงเรียนสอนบุคลิกภาพกันทำไม การที่จะมีบุคลิกภาพอย่างไรนั้นอันที่จริงมันฝังตัว หยั่งรากลึกมาตั้งแต่วัยเด็กเช่นถ้าพ่อแม่ขี้โมโหเด็กจะมีนิสัยอารมณ์ร้อน หงุดหงิดตามพ่อแม่ไปด้วยถ้าเด็กอยู่ในครอบครัวที่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำมีการตบตี ทำร้ายกัน หรือพ่อแม่เลิกกัน เด็กบางคนจะกลายเป็นคนก้าวร้าว เด็กบางคนไม่สามารถปรับตัวได้จะรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเองไม่ได้รับความอบอุ่น และจะเรียกร้องความสนใจด้วย พฤติกรรม ต่าง ๆ บางคนหลงผิดก็หันไปหายาเสพติดทำให้เสียอนาคต
วิธีพัฒนาบุคลิกภาพตัวเอง
แม้ว่าบุคลิกภาพ จะถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เกิด แต่ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงพัฒนาสามารถทำได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้
ประเมินข้อดีข้อเสียของตนเองยอมรับว่าเรามีข้อบกพร่องแม้จะยาก เพราะทุกคนย่อมคิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว แต่การยอมรับก็ไม่ต้องไปป่าวประกาศให้ใครทราบ เรายอมรับในใจของเราเอง แล้วค่อย ๆ ปรับปรุงตนเองไปทีละเล็กละน้อยโดยสำรวจตัวเองในด้านต่าง ๆ ดังนี้
บุคลิกภาพทางกาย เช่น รูปร่างหน้า ผิวพรรณซึ่งเป็นบุคลิกภาพภายนอก ถ้าผิวพรรณคล้ำอยากขาว ก็ใช้ครีมที่โฆษณาทำให้ผิวขาวมีมีหลากหลายยี่ห้อ ใช้บ่อย ๆ หน้าก็จะนวลเช้งผิวพรรณก็จะดีไปเองแต่ต้องเลือกดูให้เหมาะสมกับตัวเราเองด้วยไม่อย่างนั้นแทนที่จะสวยกลับยิ่งแย่ การแต่งกายต้องสะอาดเรียบร้อย แต่งให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น แต่งกายไปทำงานหรือแต่งกายไปงานกลางคืนก็จะแต่งไม่เหมือนกัน มีการเดินที่สง่างาม จังหวะการเดินสม่ำเสมอ
บุคลิกภาพทางอุปนิสัยหัดให้เป็นเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ อ่อนโยน สุภาพ มีเมตตา รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักให้อภัย ให้ทาน ประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรม มีความรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ทำไปเรื่อย ๆ จะเคยชินติดเป็นนิสัยและจะมีบุคลิกภาพเป็นคนใจดีน่าคบหาสมาคมไปได้เอง
บุคลิกภาพทางอารมณ์จะต้องหัดเป็นคนที่มีอารมณ์เยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียว สุขุมรอบคอบ ไม่อ่อนไหว กับเรื่องอะไรง่าย ๆ จิตใจมั่นคง ไม่หูเบาจะทำให้เป็นคนที่รักของคนรอบข้าง
บุคลิกภาพทางสังคม จะต้องรู้จักสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มีมนุษย์สัมพันธ์ดีไม่มองคนในแง่ร้าย รู้จักพุดคุยตามวาระและโอกาส รู้จักวางตัวจะทำให้เป็นคนบุคลิกดี เป็นที่น่านับถือ
บุคลิกภาพทางสติปัญญา ข้อนี้สำคัญมากการที่เราจะมีความสามารถได้ในหลาย ๆ ด้าน จะต้องรู้จักค้นคว้า หาความรู้ใส่ตนเอง ตามที่เราถนัดและสนใจเพื่อเป็นส่วนประกอบให้เราดูมีบุคลิกที่น่านิยมส่งเสริมให้เรามีคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และเกิดความมั่นใจ ความรู้ความสามารถ จะสร้างเสริมความเชื่อมั่นให้กับตนเอง
พึงระลึกไว้เสมอว่าบุคลิกภาพ เป็นคุณสมบัติเฉพาะบุคคลและบุคลิกภาพที่ดีที่สุดก็ไม่มี มีแต่ว่าจะทำให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นได้อย่างไรต่างหาก
แต่อยากกระซิบว่าเราต้องมีความมั่นใจ ที่จะพัฒนาตัวเราเองให้มีบุคลิกภาพที่ดูดีผู้พบเห็น ไม่ใช่ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตนเอง คิดแค่นี้สุขใจก็พอแล้ว
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
ผักหนามปู่ย่า
สุนันทา เจียมเงิน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ (Scientitific Name) Leguminosae
ชื่อวงศ์ : Caesaipinia Mimosoides
ลักษณะทั่วไป
ผักปู่ย่า เป็นพืชประเภทไม้ถาชนิดหนึ่ง พบทั่วไปในป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง และป่าผสมผลัดใบ ใบและลำต้นคล้ายผักชะอม เมื่อแก่จัดหลังจากให้ดอกและเมล็ดแล้ว ลำต้นจะค่อย ๆ แห้งตาย
และจะงอกใหม่เมื่อถึงฤดูฝนอีกครั้งหนึ่ง ดอกของผักหนามปู่ย่ามีสีเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อ ยอดอ่อน
และก้านจะมีสีแดง หรือน้ำตาลเข้ม มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน เหมือนหนามดอกกุกลาบ
การนำมารับประทาน
จะหาเก็บได้ตามป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง และป่าผสมผลัดใบ หรือหาซื้อตามตลาดชนบทภาคเหนือทั่วไป ที่อำเภอแม่ทะมีที่บ้านหนามปู่ย่า หมู่ที่ ๘ ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ มีขายรวมกับผักชนิดอื่น เช่น ยอดมะม่วง ยอดชะมวง ซึ่งเราเรียกลักษณะของผักที่มัดรวมกันนี้ว่า ผักแพะ เนื่องจากคำว่าแพะในภาษาท้องถิ่น ภาคเหนือ หมายถึง ป่าละเมาะ หรือป่าโปร่ง
นิยมนำมารับประทานสดได้เลยไม่ต้องลวก หรือทำให้สุก มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน
รสฝาดอมเปรี้ยว นำยอดอ่อนมาเป็นผักจิ้ม กับแกงหน่อไม้สด แกงหน่อไม้ดอง ยำหน่อไม้ ไม่ต้องเด็ดหนามออก หรือ เด็ดเป็นท่อนเล็ก ๆ ยำหรือส้า รวมกับผักแพะชนิดอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่ายำผักแพะ นอกจากยอดอ่อนแล้ว ส่วนดอกที่มีสีเหลืองก็นิยมนำมาส้าหรือยำก็ได้เช่นกัน
ประโยชน์
มีคุณค่าทางโภชนาการ เป็นผักที่มีวิตตามินซีสูง
การขยายพันธ์ ๑. ใช้รากหรือหัว ๒. ใช้เมล็ด
ผู้ให้ข้อมูล คุณประวีณา มังคะวงค์
๑๗๘/๒ หมู่ที่ ๘ บ้านหนามปู่ย่า
ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ (Scientitific Name) Leguminosae
ชื่อวงศ์ : Caesaipinia Mimosoides
ลักษณะทั่วไป
ผักปู่ย่า เป็นพืชประเภทไม้ถาชนิดหนึ่ง พบทั่วไปในป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง และป่าผสมผลัดใบ ใบและลำต้นคล้ายผักชะอม เมื่อแก่จัดหลังจากให้ดอกและเมล็ดแล้ว ลำต้นจะค่อย ๆ แห้งตาย
และจะงอกใหม่เมื่อถึงฤดูฝนอีกครั้งหนึ่ง ดอกของผักหนามปู่ย่ามีสีเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อ ยอดอ่อน
และก้านจะมีสีแดง หรือน้ำตาลเข้ม มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน เหมือนหนามดอกกุกลาบ
การนำมารับประทาน
จะหาเก็บได้ตามป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง และป่าผสมผลัดใบ หรือหาซื้อตามตลาดชนบทภาคเหนือทั่วไป ที่อำเภอแม่ทะมีที่บ้านหนามปู่ย่า หมู่ที่ ๘ ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ มีขายรวมกับผักชนิดอื่น เช่น ยอดมะม่วง ยอดชะมวง ซึ่งเราเรียกลักษณะของผักที่มัดรวมกันนี้ว่า ผักแพะ เนื่องจากคำว่าแพะในภาษาท้องถิ่น ภาคเหนือ หมายถึง ป่าละเมาะ หรือป่าโปร่ง
นิยมนำมารับประทานสดได้เลยไม่ต้องลวก หรือทำให้สุก มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน
รสฝาดอมเปรี้ยว นำยอดอ่อนมาเป็นผักจิ้ม กับแกงหน่อไม้สด แกงหน่อไม้ดอง ยำหน่อไม้ ไม่ต้องเด็ดหนามออก หรือ เด็ดเป็นท่อนเล็ก ๆ ยำหรือส้า รวมกับผักแพะชนิดอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่ายำผักแพะ นอกจากยอดอ่อนแล้ว ส่วนดอกที่มีสีเหลืองก็นิยมนำมาส้าหรือยำก็ได้เช่นกัน
ประโยชน์
มีคุณค่าทางโภชนาการ เป็นผักที่มีวิตตามินซีสูง
การขยายพันธ์ ๑. ใช้รากหรือหัว ๒. ใช้เมล็ด
ผู้ให้ข้อมูล คุณประวีณา มังคะวงค์
๑๗๘/๒ หมู่ที่ ๘ บ้านหนามปู่ย่า
ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
ภูมิปัญญา ความเชื่อเกี่ยวกับคน และกิริยาอาการ
การกวาด
การใช้ไม้กวาด กวาดบ้านเรือน ภายในอาคารสถานที่พักอาศัย เพื่อทำความสะอาด กวาดขยะ ฝุ่นผง
การกวดเรือน(บ้าน) ของคนเมืองเหนือ จะกวาดกันในตอนเช้า หรือกลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนจะไม่กวาดเรือนกันถ้าไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นต้องกวาดเรือนในเวลาค่ำคืน เขาจะใช้วิธีกวาดขยะจากข้างนอกเข้าไปกองไว้ข้างในที่มุมใดมุมหนึ่งของเรือน พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งจึงทำการเก็บหรือกวาดขยะนั้นออกทิ้ง
ความเชื่อ
๑. การกวาดเรือนในตอนกลางคืน เป็นการกวาดเอาข้าวของ เงินทอง ออกจากเรือนไป ซึ่งถ้าพิจารณาด้วยเหตุผลแล้วคงเป็นเพราะว่าในเวลากลางคืนมีแสงสว่างไม่เพียงพอ อาจมองไม่เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่มีค่าติดออกไป หรือของที่มีขนาดเล็ก อาทิ เข็มเย็บผ้า ดังนั้นถ้ากวาดเรือนไปอาจทำให้ข้าวของเครื่องใช้เหล่านั้นสูญหายได้
๒. เมื่อมีคนที่เจ้าของเรือนไม่ชอบเข้ามาในบ้านเรือน มานั่งพูดคุยกัน ถ้าเจ้าของเรือนนั้นไม่อยากให้คนผู้นั้นกลับเข้ามาอีก เมื่อเข้ากลับไปแล้วให้รีบเอาไม้กวาด ๆ ไล่ พร้อมกล่าวเบา ๆ ว่า “ไป ไป”
เชื่อว่าคนผู้นั้นจะไม่กลับมาอีก
************
ผู้ให้ข้อมูล นายอินสม เครือตัน ข้าราชการบำนาญ ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลน้ำโจ้
บ้านเลขที่ ๑๓๑ หมู่ ๕ ตำบล น้ำโจ้
อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ๕๒๑๕๐
การใช้ไม้กวาด กวาดบ้านเรือน ภายในอาคารสถานที่พักอาศัย เพื่อทำความสะอาด กวาดขยะ ฝุ่นผง
การกวดเรือน(บ้าน) ของคนเมืองเหนือ จะกวาดกันในตอนเช้า หรือกลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนจะไม่กวาดเรือนกันถ้าไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นต้องกวาดเรือนในเวลาค่ำคืน เขาจะใช้วิธีกวาดขยะจากข้างนอกเข้าไปกองไว้ข้างในที่มุมใดมุมหนึ่งของเรือน พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งจึงทำการเก็บหรือกวาดขยะนั้นออกทิ้ง
ความเชื่อ
๑. การกวาดเรือนในตอนกลางคืน เป็นการกวาดเอาข้าวของ เงินทอง ออกจากเรือนไป ซึ่งถ้าพิจารณาด้วยเหตุผลแล้วคงเป็นเพราะว่าในเวลากลางคืนมีแสงสว่างไม่เพียงพอ อาจมองไม่เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่มีค่าติดออกไป หรือของที่มีขนาดเล็ก อาทิ เข็มเย็บผ้า ดังนั้นถ้ากวาดเรือนไปอาจทำให้ข้าวของเครื่องใช้เหล่านั้นสูญหายได้
๒. เมื่อมีคนที่เจ้าของเรือนไม่ชอบเข้ามาในบ้านเรือน มานั่งพูดคุยกัน ถ้าเจ้าของเรือนนั้นไม่อยากให้คนผู้นั้นกลับเข้ามาอีก เมื่อเข้ากลับไปแล้วให้รีบเอาไม้กวาด ๆ ไล่ พร้อมกล่าวเบา ๆ ว่า “ไป ไป”
เชื่อว่าคนผู้นั้นจะไม่กลับมาอีก
************
ผู้ให้ข้อมูล นายอินสม เครือตัน ข้าราชการบำนาญ ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลน้ำโจ้
บ้านเลขที่ ๑๓๑ หมู่ ๕ ตำบล น้ำโจ้
อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ๕๒๑๕๐
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
มารยาทที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
๑. การกราบพระแบบเบญจางคประดิษฐ์
การกราบพระแบบเบญจางคประดิษฐ์ ใช้กราบพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึง การที่ให้อวัยวะทั้ง ๕ คือ เข่าทั้ง ๒ มือทั้ง ๒
และหน้าผากจรดพื้นการกราบจะมี ๓ จังหวะ และจะต้องนั่งอยู่ในท่าเตรียมกราบ
ท่าเตรียมกราบ
ชาย นั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้งสองข้าง(ท่าเทพบุตร)
หญิง นั่งคุกเข่าปลายเท้าราบ นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้งสองข้าง(ท่าเทพธิดา)
จังหวะที่ ๑ (อัญชลี) ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ปลายนิ้วชิดกันตั้งขึ้นแบบตัวไม่กางศอก
จังหวะที่ ๒ (วันทนา) ยกมือขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะ โดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผาก
จังหวะที่ ๓ (อภิวาท) ทอดมือลงกราบ ให้มือและแขนทั้งสองข้างลงพร้อมกัน มือคว่ำห่างกันเล็กน้อยพอให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือได้
ชาย ให้กางศอกทั้งสองข้างลง ต่อจากเข่าขนานไปกับพื้น หลังไม่โก่ง
หญิง ให้ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็กน้อย
ทำสามจังหวะให้ครบสามครั้ง แล้วมือขึ้นจบโดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผากแล้วปล่อยมือลง
การกราบไม่ควรให้ช้าหรือเร็วเกินไป
การกราบผู้ใหญ่ ใช้กราบผู้ใหญ่ที่มีอาวุโส รวมทั้งผู้ที่มีพระคุณ ได้แก่ พ่อ แม่ ครูอาจารย์
และผู้ที่เราเคารพ กราบเพียงครั้งเดียว โดยที่ผู้กราบทั้งชายและหญิงนั่งพับเพียบทอดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกัน ให้แขนทั้งสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเดียงเข่าเดียว มือประนมค้อมตัวลงให้หน้าผากแตะ
ส่วนบนของมือที่ประนม ในขณะกราบไม่ควรกระดกนิ้วหัวแม่มือขึ้นรับหน้าผาก
๒. การหมอบกราบผู้ใหญ่
๓. การยืนไหว้ ๓ ระดับ ๔ บุคคล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระบรมวงศ์
การยืนรับเสด็จฯ นอกพระที่นั่ง อาคาร หรือแนวทางลาดพระบาทที่เสด็จ ถ้าเป็นข้าราชการ
จัดให้ยืนเรียงแถวตามลำดับยศ ตำแหน่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งกำหนดการเฝ้าฯ เป็นงาน ๆ
ถ้าแต่งเครื่องแบบสวมหมวกทั้งชายและหญิงให้ยืนถวายความเคารพด้วยการทำวันทยหัตถ์
การยืนเฝ้าฯ รับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถฯ
สมเด็จพระบรมวงศ์ ให้ยืนถวายความเคารพ แล้วยืนตรงจนกว่าจะเสด็จฯ เลยไป เมื่อประทับพระราชอาสน์หรือพระเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ถวายความเคารพอีกครั้งหนึ่ง
การยืนเคารพในพิธีที่มีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสรรเสริญพระบารมีบรรเลงเพื่อถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมารหรือผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้แทนพระองค์
๑. การถวายความเคารพพระมหากษัตริย์
การถวายบังคม เป็นราชประเพณีถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ในงานพระราชพิธีสำคัญ
การถวายบังคมแบ่งออกเป็น ๓ จังหวะ ดังนี้
จังหวะที่ ๑ ยกมือขึ้นประนมหว่างอก ปลายนิ้วตั้งขึ้นแนบตัวไม่กางศอก
จังหวะที่ ๒ ยกมือที่ประนมขึ้น ให้ปลายนิ้วแม่มือจรดหน้าผากเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
จังหวะที่ ๓ ลดมือกลับลงตามเดิมมาอยู่ในจังหวะที่ ๑ การหมอบกราบ ใช้แสดงความเคารพพระมหากษัตริย์ลงมาถึงพระบรมวงศ์ในโอกาสที่เข้าเฝ้า
โดยนั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าแล้วจึงหมอบลงให้ศอกทั้งสองข้างถึงพื้นคร่อมเข่าอยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว มือประสาน เมื่อจะกราบให้ประนมมือก้มศีรษะลง หน้าผากแตะส่วนบนของมือที่ประนม เมื่อกราบแล้ว
นั่งในท่าหมอบเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วทรงตัวนั่งในท่าพับเพียบตามเดิม
๒. การรับของ – ส่งของ ผู้ใหญ่ยืน, นั่งเก้าอี้, และนั่งพื้น
ของที่จะรับหรือส่ง มีสองลักษณะ คือ ของหนักและของเบา ของหนักให้ถือสองมือ
ของเบาให้ถือมือเดียวโดยถือด้วยมือขวา มือซ้ายปล่อยข้างตัว ของที่จะรับหรือส่งควรถือตามขวาง
ถ้าเป็นสมุดหรือหนังสือควรหันทางสันออกนอกตัว
การรับของและส่งของอย่างเป็นพิธีการ
การรับของ
-ขณะผู้ใหญ่ยืน
ชาย เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร (ประมาณ ๓ ก้าว) ยืนตรงคำนับแล้วก้าวเท้าขวา
ไปข้างหน้าพร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย รับของ เสร็จแล้วชักเท้าขวากลับ คำนับอีกครั้งหนึ่ง
ถอยพอประมาณแล้วถอยกลับ อีกแบบหนึ่งยืนไหว้ครั้งเดียว แทนการคำนับก่อน
รับของแล้วไม่ต้องไหว้อีก
หญิง เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร (ประมาณ ๓ ก้าว) ย่อตัวไหว้ตามอาวุโส
ของผู้ส่งของให้ แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวรับของเสร็จแล้วชักเท้าขวากลับ
ถอยพอประมาณ หันกลับ
-ขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้
ชาย เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง คำนับ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าแล้ว
คุกเข่าซ้าย รับของ เสร็จแล้วถอยเท้าขวา พร้อมกับลุกขึ้นยืน คำนับอีกครั้งหนึ่ง ถอยพอ
ประมาณ หันกลับอีกแบบหนึ่ง ค้อมตัวไหว้ครั้งเดียวแทนการคำนับก่อนรับของ
หญิง เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าซ้าย
และไหว้ตามอาวุโสของผู้ส่งของให้ รับของ แล้วถอยเท้าขวาพร้อมกับลุกขึ้นยืน
ถอยพอประมาณ หันกลับ
- ขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น
ชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณหรืออาวุโสมากให้เข้าไปใกล้ผู้ใหญ่
พอประมาณ แล้วจึงเดินเข่าเข้าไปห่างผู้ใหญ่ประมาณ ๓ ก้าว นั่งพับเพียบกราบผู้ใหญ่
๑ ครั้ง แล้วรับของ วางของทางขวามือเหนือหัวเข่าเล็กน้อย ถ้าผู้ใหญ่ปราศรัยด้วย
ก็ให้นั่งในลักษณะสำรวมเสร็จแล้วกราบอีก ๑ ครั้ง ถือของดินเข่าถอยพอประมาณลุกขึ้น
หันกลับ
การส่งของ
-ขณะผู้ใหญ่ยืน
ชาย ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรงคำนับ แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย ส่งของเสร็จแล้ว ชักเท้าขวากลับ คำนับอีกครั้งหนึ่ง
ถอยพอประมาณ หันกลับ
อีกแบบหนึ่ง ใช้การยืนไหว้อีกครั้งเดียวแทนการคำนับเมื่อส่งของให้ผู้ใหญ่แล้ว
หญิง ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควรยืนตรง แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อย ส่งของเสร็จแล้วไหว้ในขณะที่ย่อตัวอยู่ แล้วชักเท้าขวากลับ
ถอยพอประมาณ หันกลับ
- ขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้
ชาย ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรงคำนับ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
แล้วคุกเข่าซ้ายส่งของเสร็จแล้วถอยเท้าขวากลับพร้อมกับลุกขึ้น ยืนตรง คำนับอีก
หนึ่งครั้ง ถอยพอประมาณ หันกลับ
อีกแบบหนึ่ง ใช้การค้อมตัวไหว้ครั้งเดียวแทนการคำนับเมื่อส่งของให้ผู้ใหญ่แล้ว
หญิง ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
แล้วคุกเข่าซ้ายส่งของ เสร็จแล้วไหว้ตามอาวุโสของผู้รับแล้วถอยเท้าขวาพร้อมกับ
ลุกขึ้นยืน ถอยพอประมาณ หันกลับ
-ขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น
ชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณหรืออาวุโสมากให้ผู้ที่เข้าไปส่งของ
เดินเข่าถือของเข้าไป ห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ นั่งพับเพียบวางของทางขวามือ
เหนือเข่าเล็กน้อย แล้วกราบผู้ใหญ่ ๑ ครั้ง ส่งของให้ผู้ใหญ่ปราศรัยด้วยก็นั่งลักษณะสำรวม
เมื่อจะลากลับลาอีก ๑ ครั้ง ถอยโดยวิธีเดินเข่า ห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณลุกขึ้นยืนหันกลับ
การยืน – เดิน – นั่ง ผ่านผู้ใหญ่
การยืนให้เกียรติผู้ใหญ่ การยืนลักษณะนี้ใช้เมื่อเรานั่งสนทนากันอยู่แล้วมีผู้ใหญ่เดินเข้ามา
หรืออยู่ร่วมสนทนาด้วยให้ลุกขึ้นยืนตรงมือประสานกันอยู่ระดับเอวค้อมตัวเล็กน้อยรอจนผู้ใหญ่นั่งแล้ว
จึงนั่งลง
การยืนสนทนากับผู้ใหญ่ ให้ยืนตรง ชิดเท้า ค้อมตัวเล็กน้อย มือประสานกันอยู่ระดับเอว
ไม่ควรยืนชิดหรือห่างผู้ใหญ่จนเกินไป
ศึกษาค้นคว้าข้อมูล โดย นางนงนุช ป่าเขียว
นักวิชาการวัฒนธรรม ชำนาญการ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง
การกราบพระแบบเบญจางคประดิษฐ์ ใช้กราบพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึง การที่ให้อวัยวะทั้ง ๕ คือ เข่าทั้ง ๒ มือทั้ง ๒
และหน้าผากจรดพื้นการกราบจะมี ๓ จังหวะ และจะต้องนั่งอยู่ในท่าเตรียมกราบ
ท่าเตรียมกราบ
ชาย นั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้งสองข้าง(ท่าเทพบุตร)
หญิง นั่งคุกเข่าปลายเท้าราบ นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้งสองข้าง(ท่าเทพธิดา)
จังหวะที่ ๑ (อัญชลี) ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ปลายนิ้วชิดกันตั้งขึ้นแบบตัวไม่กางศอก
จังหวะที่ ๒ (วันทนา) ยกมือขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะ โดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผาก
จังหวะที่ ๓ (อภิวาท) ทอดมือลงกราบ ให้มือและแขนทั้งสองข้างลงพร้อมกัน มือคว่ำห่างกันเล็กน้อยพอให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือได้
ชาย ให้กางศอกทั้งสองข้างลง ต่อจากเข่าขนานไปกับพื้น หลังไม่โก่ง
หญิง ให้ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็กน้อย
ทำสามจังหวะให้ครบสามครั้ง แล้วมือขึ้นจบโดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผากแล้วปล่อยมือลง
การกราบไม่ควรให้ช้าหรือเร็วเกินไป
การกราบผู้ใหญ่ ใช้กราบผู้ใหญ่ที่มีอาวุโส รวมทั้งผู้ที่มีพระคุณ ได้แก่ พ่อ แม่ ครูอาจารย์
และผู้ที่เราเคารพ กราบเพียงครั้งเดียว โดยที่ผู้กราบทั้งชายและหญิงนั่งพับเพียบทอดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกัน ให้แขนทั้งสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเดียงเข่าเดียว มือประนมค้อมตัวลงให้หน้าผากแตะ
ส่วนบนของมือที่ประนม ในขณะกราบไม่ควรกระดกนิ้วหัวแม่มือขึ้นรับหน้าผาก
๒. การหมอบกราบผู้ใหญ่
๓. การยืนไหว้ ๓ ระดับ ๔ บุคคล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระบรมวงศ์
การยืนรับเสด็จฯ นอกพระที่นั่ง อาคาร หรือแนวทางลาดพระบาทที่เสด็จ ถ้าเป็นข้าราชการ
จัดให้ยืนเรียงแถวตามลำดับยศ ตำแหน่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งกำหนดการเฝ้าฯ เป็นงาน ๆ
ถ้าแต่งเครื่องแบบสวมหมวกทั้งชายและหญิงให้ยืนถวายความเคารพด้วยการทำวันทยหัตถ์
การยืนเฝ้าฯ รับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถฯ
สมเด็จพระบรมวงศ์ ให้ยืนถวายความเคารพ แล้วยืนตรงจนกว่าจะเสด็จฯ เลยไป เมื่อประทับพระราชอาสน์หรือพระเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ถวายความเคารพอีกครั้งหนึ่ง
การยืนเคารพในพิธีที่มีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสรรเสริญพระบารมีบรรเลงเพื่อถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมารหรือผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้แทนพระองค์
๑. การถวายความเคารพพระมหากษัตริย์
การถวายบังคม เป็นราชประเพณีถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ในงานพระราชพิธีสำคัญ
การถวายบังคมแบ่งออกเป็น ๓ จังหวะ ดังนี้
จังหวะที่ ๑ ยกมือขึ้นประนมหว่างอก ปลายนิ้วตั้งขึ้นแนบตัวไม่กางศอก
จังหวะที่ ๒ ยกมือที่ประนมขึ้น ให้ปลายนิ้วแม่มือจรดหน้าผากเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
จังหวะที่ ๓ ลดมือกลับลงตามเดิมมาอยู่ในจังหวะที่ ๑ การหมอบกราบ ใช้แสดงความเคารพพระมหากษัตริย์ลงมาถึงพระบรมวงศ์ในโอกาสที่เข้าเฝ้า
โดยนั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าแล้วจึงหมอบลงให้ศอกทั้งสองข้างถึงพื้นคร่อมเข่าอยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว มือประสาน เมื่อจะกราบให้ประนมมือก้มศีรษะลง หน้าผากแตะส่วนบนของมือที่ประนม เมื่อกราบแล้ว
นั่งในท่าหมอบเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วทรงตัวนั่งในท่าพับเพียบตามเดิม
๒. การรับของ – ส่งของ ผู้ใหญ่ยืน, นั่งเก้าอี้, และนั่งพื้น
ของที่จะรับหรือส่ง มีสองลักษณะ คือ ของหนักและของเบา ของหนักให้ถือสองมือ
ของเบาให้ถือมือเดียวโดยถือด้วยมือขวา มือซ้ายปล่อยข้างตัว ของที่จะรับหรือส่งควรถือตามขวาง
ถ้าเป็นสมุดหรือหนังสือควรหันทางสันออกนอกตัว
การรับของและส่งของอย่างเป็นพิธีการ
การรับของ
-ขณะผู้ใหญ่ยืน
ชาย เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร (ประมาณ ๓ ก้าว) ยืนตรงคำนับแล้วก้าวเท้าขวา
ไปข้างหน้าพร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย รับของ เสร็จแล้วชักเท้าขวากลับ คำนับอีกครั้งหนึ่ง
ถอยพอประมาณแล้วถอยกลับ อีกแบบหนึ่งยืนไหว้ครั้งเดียว แทนการคำนับก่อน
รับของแล้วไม่ต้องไหว้อีก
หญิง เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร (ประมาณ ๓ ก้าว) ย่อตัวไหว้ตามอาวุโส
ของผู้ส่งของให้ แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวรับของเสร็จแล้วชักเท้าขวากลับ
ถอยพอประมาณ หันกลับ
-ขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้
ชาย เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง คำนับ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าแล้ว
คุกเข่าซ้าย รับของ เสร็จแล้วถอยเท้าขวา พร้อมกับลุกขึ้นยืน คำนับอีกครั้งหนึ่ง ถอยพอ
ประมาณ หันกลับอีกแบบหนึ่ง ค้อมตัวไหว้ครั้งเดียวแทนการคำนับก่อนรับของ
หญิง เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าซ้าย
และไหว้ตามอาวุโสของผู้ส่งของให้ รับของ แล้วถอยเท้าขวาพร้อมกับลุกขึ้นยืน
ถอยพอประมาณ หันกลับ
- ขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น
ชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณหรืออาวุโสมากให้เข้าไปใกล้ผู้ใหญ่
พอประมาณ แล้วจึงเดินเข่าเข้าไปห่างผู้ใหญ่ประมาณ ๓ ก้าว นั่งพับเพียบกราบผู้ใหญ่
๑ ครั้ง แล้วรับของ วางของทางขวามือเหนือหัวเข่าเล็กน้อย ถ้าผู้ใหญ่ปราศรัยด้วย
ก็ให้นั่งในลักษณะสำรวมเสร็จแล้วกราบอีก ๑ ครั้ง ถือของดินเข่าถอยพอประมาณลุกขึ้น
หันกลับ
การส่งของ
-ขณะผู้ใหญ่ยืน
ชาย ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรงคำนับ แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย ส่งของเสร็จแล้ว ชักเท้าขวากลับ คำนับอีกครั้งหนึ่ง
ถอยพอประมาณ หันกลับ
อีกแบบหนึ่ง ใช้การยืนไหว้อีกครั้งเดียวแทนการคำนับเมื่อส่งของให้ผู้ใหญ่แล้ว
หญิง ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควรยืนตรง แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อย ส่งของเสร็จแล้วไหว้ในขณะที่ย่อตัวอยู่ แล้วชักเท้าขวากลับ
ถอยพอประมาณ หันกลับ
- ขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้
ชาย ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรงคำนับ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
แล้วคุกเข่าซ้ายส่งของเสร็จแล้วถอยเท้าขวากลับพร้อมกับลุกขึ้น ยืนตรง คำนับอีก
หนึ่งครั้ง ถอยพอประมาณ หันกลับ
อีกแบบหนึ่ง ใช้การค้อมตัวไหว้ครั้งเดียวแทนการคำนับเมื่อส่งของให้ผู้ใหญ่แล้ว
หญิง ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
แล้วคุกเข่าซ้ายส่งของ เสร็จแล้วไหว้ตามอาวุโสของผู้รับแล้วถอยเท้าขวาพร้อมกับ
ลุกขึ้นยืน ถอยพอประมาณ หันกลับ
-ขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น
ชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณหรืออาวุโสมากให้ผู้ที่เข้าไปส่งของ
เดินเข่าถือของเข้าไป ห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ นั่งพับเพียบวางของทางขวามือ
เหนือเข่าเล็กน้อย แล้วกราบผู้ใหญ่ ๑ ครั้ง ส่งของให้ผู้ใหญ่ปราศรัยด้วยก็นั่งลักษณะสำรวม
เมื่อจะลากลับลาอีก ๑ ครั้ง ถอยโดยวิธีเดินเข่า ห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณลุกขึ้นยืนหันกลับ
การยืน – เดิน – นั่ง ผ่านผู้ใหญ่
การยืนให้เกียรติผู้ใหญ่ การยืนลักษณะนี้ใช้เมื่อเรานั่งสนทนากันอยู่แล้วมีผู้ใหญ่เดินเข้ามา
หรืออยู่ร่วมสนทนาด้วยให้ลุกขึ้นยืนตรงมือประสานกันอยู่ระดับเอวค้อมตัวเล็กน้อยรอจนผู้ใหญ่นั่งแล้ว
จึงนั่งลง
การยืนสนทนากับผู้ใหญ่ ให้ยืนตรง ชิดเท้า ค้อมตัวเล็กน้อย มือประสานกันอยู่ระดับเอว
ไม่ควรยืนชิดหรือห่างผู้ใหญ่จนเกินไป
ศึกษาค้นคว้าข้อมูล โดย นางนงนุช ป่าเขียว
นักวิชาการวัฒนธรรม ชำนาญการ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง
คาเฟอีนในกาแฟ
โดย อดุม อนุพันธิกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จาก ผลิตภัณฑ์กาแฟบรรจุกระป๋องที่วางจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อ การโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ ในปัจจุบันพยายามสร้างแรงจูงใจให้วัยรุ่นเข้าใจว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่สามารถผูกใจ เพื่อนชาย-หญิงของวัยรุ่นได้ เช่นเดียวกับการโฆษณาเพื่อสร้างค่านิยมในการดื่มน้ำอัดลม บางชนิดในกลุ่มวัยรุ่น โดยเน้นว่าเป็นเครื่องดื่มของคน รุ่นใหม่ การดื่มกาแฟจะทำให้ ร่างกายได้รับสารชนิดหนึ่งที่สำคัญ คือ คาเฟอีน สารคาเฟอีนนี้นอกจากจะมีในกาแฟแล้วยังพบในชา โกโก้ และเมล็ดโคลา คาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์ ต่อร่างกายหลายประการ เช่น กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตทำให้โลหิตไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ากระตุ้นประสาทส่วนกลางทำให้รู้สึกตื่นตัวไม่ ง่วงนอน กระตุ้นการหลั่งของกรดเกลือในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะอย่างอ่อน เป็นผลให้มีการขับถ่ายแคลเซียมออกจากร่างกายเพิ่มขึ้นด้วย ในทางตรงกันข้าม ในคนที่ไวต่อ ฤทธิ์ของคาเฟอีนหรือได้รับคาเฟอีนมากเกินไป อาจทำให้มีอาการใจสั่น มือสั่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย และปวดท้อง
วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการแคลเซียมในปริมาณสูงเพื่อนำไปสร้างกระดูก เนื่องจากเป็น วัยที่ร่างกายยังมีการเจริญเติบโตด้านความสูงอีกช่วงหนึ่งของชีวิต การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณมาก เป็นประจำอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเสริมสร้างความสูง และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปนานๆ จะมีอาการติดสารคาเฟอีน คือ ถ้าไม่ได้ดื่มจะรู้สึก เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น หรือรู้สึกเหนื่อยล้า วัยรุ่นที่มีความเคร่งเครียดในระยะที่ต้อง ดูหนังสือหรือทำกิจกรรมมาก ๆ ถ้ามีอาการเหนื่อยล้า แสดงว่า ร่างกายต้องการที่จะได้ พักผ่อน การหาทางออกด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกาย ทำงานต่อไป จะยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้นและมีผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว
ที่มา : ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จาก ผลิตภัณฑ์กาแฟบรรจุกระป๋องที่วางจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อ การโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ ในปัจจุบันพยายามสร้างแรงจูงใจให้วัยรุ่นเข้าใจว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่สามารถผูกใจ เพื่อนชาย-หญิงของวัยรุ่นได้ เช่นเดียวกับการโฆษณาเพื่อสร้างค่านิยมในการดื่มน้ำอัดลม บางชนิดในกลุ่มวัยรุ่น โดยเน้นว่าเป็นเครื่องดื่มของคน รุ่นใหม่ การดื่มกาแฟจะทำให้ ร่างกายได้รับสารชนิดหนึ่งที่สำคัญ คือ คาเฟอีน สารคาเฟอีนนี้นอกจากจะมีในกาแฟแล้วยังพบในชา โกโก้ และเมล็ดโคลา คาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์ ต่อร่างกายหลายประการ เช่น กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตทำให้โลหิตไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ากระตุ้นประสาทส่วนกลางทำให้รู้สึกตื่นตัวไม่ ง่วงนอน กระตุ้นการหลั่งของกรดเกลือในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะอย่างอ่อน เป็นผลให้มีการขับถ่ายแคลเซียมออกจากร่างกายเพิ่มขึ้นด้วย ในทางตรงกันข้าม ในคนที่ไวต่อ ฤทธิ์ของคาเฟอีนหรือได้รับคาเฟอีนมากเกินไป อาจทำให้มีอาการใจสั่น มือสั่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย และปวดท้อง
วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการแคลเซียมในปริมาณสูงเพื่อนำไปสร้างกระดูก เนื่องจากเป็น วัยที่ร่างกายยังมีการเจริญเติบโตด้านความสูงอีกช่วงหนึ่งของชีวิต การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณมาก เป็นประจำอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเสริมสร้างความสูง และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปนานๆ จะมีอาการติดสารคาเฟอีน คือ ถ้าไม่ได้ดื่มจะรู้สึก เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น หรือรู้สึกเหนื่อยล้า วัยรุ่นที่มีความเคร่งเครียดในระยะที่ต้อง ดูหนังสือหรือทำกิจกรรมมาก ๆ ถ้ามีอาการเหนื่อยล้า แสดงว่า ร่างกายต้องการที่จะได้ พักผ่อน การหาทางออกด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกาย ทำงานต่อไป จะยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้นและมีผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว
ที่มา : ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
การขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี
โดย นางลัดดา คิดอ่าน อำเภอเกาะคา
การขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดี ควรปฏิบัติดังนี้
1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวด ต้องไปปัสสาวะ
2. เวลาปัสสาวะ ไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้
3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุด ในหนึ่งครั้ง คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้ว ให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย
ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
4. ไม่ควรบังคับให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสม คือ 2 – 4 ชั่วโมง
ควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดี
หรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้
อาจเป็นอาการผิดปกติ ที่สามารถบอกโรคได้
6. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดี
หลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง
7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุ โดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทาน เพราะจะเกิด
อันตรายได้
8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบวันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
9. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดี และป้องกัน
ภาวะปัสสาวะอักเสบ
10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะ
อักเสบ
11. น้ำปัสสาวะ จะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติ ต้องไป
พบแพทย์
12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่อง ไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการ
ผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์
13. ต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4 – 6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องรีบไป
พบแพทย์ (ถ้ามีภาวะบวมตามร่างกาย เสี่ยงกับโรคไต)
การขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดี ควรปฏิบัติดังนี้
1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวด ต้องไปปัสสาวะ
2. เวลาปัสสาวะ ไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้
3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุด ในหนึ่งครั้ง คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้ว ให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย
ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
4. ไม่ควรบังคับให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสม คือ 2 – 4 ชั่วโมง
ควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดี
หรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้
อาจเป็นอาการผิดปกติ ที่สามารถบอกโรคได้
6. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดี
หลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง
7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุ โดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทาน เพราะจะเกิด
อันตรายได้
8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบวันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
9. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดี และป้องกัน
ภาวะปัสสาวะอักเสบ
10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะ
อักเสบ
11. น้ำปัสสาวะ จะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติ ต้องไป
พบแพทย์
12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่อง ไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการ
ผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์
13. ต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4 – 6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องรีบไป
พบแพทย์ (ถ้ามีภาวะบวมตามร่างกาย เสี่ยงกับโรคไต)
มารู้จักโรคสะเก็ดเงินกันเถอะ
รวบรวมโดย นางจิราภรณ์ กาญจนา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
โรคสะเก็ดเงินคืออะไร?
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบบ่อยชนิดหนึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Psoriasis” โรคนี้เกิดจากเหตุปัจจัยหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงสาเหตุเดียว ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค สารเคมีหรือสภาวะทางฟิสิกส์ที่เป็นพิษต่อผิวหนังโดยตรงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากพันธุกรรมหรือยีนที่ผิดปกติหลายชนิดร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่ไม่เหมาะสมมากระตุ้นให้โรคปรากฏขึ้น อาการผื่นผิวหนังเป็นได้หลายรูปแบบ ที่พบบ่อย คือ ผิวหนังอักเสบเป็นปื้นแดง (Erythematous plaque) ลอกเป็นขุย เป็นๆ หายๆ ผู้ป่วยบางรายเป็นเฉียบพลันแล้วผื่นก็หายไป บางรายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ความผิดปกติอื่นๆที่อาจพบได้ คือ ความผิดปกติที่เล็บ ข้ออักเสบ เป็นต้น ผู้ป่วยอาจมีอาการผิดปกติของเล็บหรือปวดข้อนำมาก่อน หรือเกิดขึ้นพร้อมๆกับอาการผื่นผิวหนังอักเสบ
ทำไมคนบางคนจึงเป็นโรคสะเก็ดเงิน
คนเป็นโรคสะเก็ดเงินเพราะมีความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นพื้นฐานแล้วมีสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการและอาการแสดงทางผิวหนัง เล็บบางรายอาจเกิดอาการอักเสบของเอ็นและข้อร่วมด้วย ผู้ป่วยแต่ละรายมีอาการแสดงของโรคแตกต่างกันได้มาก ทั้งแง่ขนาด การกระจายและความรุนแรงของผื่น ที่กล่าวว่ามีความผิดปกติทางพันธุกรรมไม่จำเป็นที่บิดา มารดา พี่น้องหรือญาติผู้ป่วยต้องเป็นโรคนี้ทุกคน เพียงแต่ว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเป็นโรคนี้อยู่ ญาติพี่น้องของผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนทั่วๆไปหรืออีกนัยหนึ่งคือมักพบคนในครอบครัวเป็นโรคเดียวกับผู้ป่วย
สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน พบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรค บุตรที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้สูงร้อยละ ๖๕ - ๘๓ ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือร้อยละ ๒๘-๕๐ ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียงร้อยละ 4 ถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่เป็นโรคบุตรคนถัดไปมีโอกาสที่จะเป็นโรคสูงขึ้นถึงร้อยละ ๒๔ ลักษณะทางพันธุกรรมเป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานของการเกิดโรค การเกิดอาการของโรคไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว ถึงผู้ป่วยจะมีลักษณะทางพันธุกรรมของโรคสะเก็ดเงินอยู่ ถ้าไม่มีปัจจัยกระตุ้นหรือส่งเสริมมากระทบผู้ป่วยก็จะไม่เกิดอาการของโรค ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรสังเกตและพยายามจับให้ได้ว่าปัจจัย แวดล้อมอะไรทำให้โรคของตนกำเริบ แล้วพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้โรคกำเริบ พึงเข้าใจว่าปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบในผู้ป่วยแต่ละรายไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องโรคสะเก็ดเงิน ค่อยพบกันใหม่เดือนหน้านะคะ
ที่มา : ความรู้เรื่องโรคสะเก็ดเงินสำหรับประชาชน เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑
โรคสะเก็ดเงินคืออะไร?
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบบ่อยชนิดหนึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Psoriasis” โรคนี้เกิดจากเหตุปัจจัยหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงสาเหตุเดียว ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค สารเคมีหรือสภาวะทางฟิสิกส์ที่เป็นพิษต่อผิวหนังโดยตรงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากพันธุกรรมหรือยีนที่ผิดปกติหลายชนิดร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่ไม่เหมาะสมมากระตุ้นให้โรคปรากฏขึ้น อาการผื่นผิวหนังเป็นได้หลายรูปแบบ ที่พบบ่อย คือ ผิวหนังอักเสบเป็นปื้นแดง (Erythematous plaque) ลอกเป็นขุย เป็นๆ หายๆ ผู้ป่วยบางรายเป็นเฉียบพลันแล้วผื่นก็หายไป บางรายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ความผิดปกติอื่นๆที่อาจพบได้ คือ ความผิดปกติที่เล็บ ข้ออักเสบ เป็นต้น ผู้ป่วยอาจมีอาการผิดปกติของเล็บหรือปวดข้อนำมาก่อน หรือเกิดขึ้นพร้อมๆกับอาการผื่นผิวหนังอักเสบ
ทำไมคนบางคนจึงเป็นโรคสะเก็ดเงิน
คนเป็นโรคสะเก็ดเงินเพราะมีความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นพื้นฐานแล้วมีสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการและอาการแสดงทางผิวหนัง เล็บบางรายอาจเกิดอาการอักเสบของเอ็นและข้อร่วมด้วย ผู้ป่วยแต่ละรายมีอาการแสดงของโรคแตกต่างกันได้มาก ทั้งแง่ขนาด การกระจายและความรุนแรงของผื่น ที่กล่าวว่ามีความผิดปกติทางพันธุกรรมไม่จำเป็นที่บิดา มารดา พี่น้องหรือญาติผู้ป่วยต้องเป็นโรคนี้ทุกคน เพียงแต่ว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเป็นโรคนี้อยู่ ญาติพี่น้องของผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนทั่วๆไปหรืออีกนัยหนึ่งคือมักพบคนในครอบครัวเป็นโรคเดียวกับผู้ป่วย
สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน พบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรค บุตรที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้สูงร้อยละ ๖๕ - ๘๓ ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือร้อยละ ๒๘-๕๐ ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียงร้อยละ 4 ถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่เป็นโรคบุตรคนถัดไปมีโอกาสที่จะเป็นโรคสูงขึ้นถึงร้อยละ ๒๔ ลักษณะทางพันธุกรรมเป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานของการเกิดโรค การเกิดอาการของโรคไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว ถึงผู้ป่วยจะมีลักษณะทางพันธุกรรมของโรคสะเก็ดเงินอยู่ ถ้าไม่มีปัจจัยกระตุ้นหรือส่งเสริมมากระทบผู้ป่วยก็จะไม่เกิดอาการของโรค ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรสังเกตและพยายามจับให้ได้ว่าปัจจัย แวดล้อมอะไรทำให้โรคของตนกำเริบ แล้วพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้โรคกำเริบ พึงเข้าใจว่าปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบในผู้ป่วยแต่ละรายไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องโรคสะเก็ดเงิน ค่อยพบกันใหม่เดือนหน้านะคะ
ที่มา : ความรู้เรื่องโรคสะเก็ดเงินสำหรับประชาชน เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักความรัก
ความรัก จึงต้องออกสู่ภาคปฏิบัติ คือ การให้และการแบ่งปัน เมื่อสังคมมการแบ่งปันจะทำให้สังคมนั้นเป็นสังคมแห่งทางสายกลาง มีของเป็นกองกลาง มีการประพฤติปฏิบัติที่เป็นกลาง กล่าวคือสังคมนั้นจะไม่เป็น
ความรัก เข้าปะปนกับสังคมแบบสุดโต่ง ในปัจจุบัน คือ มีคนรวยที่สุด และคนจนที่สุด
มีคนฉลาดที่สุด และคนโง่ที่สุด
มีคนดีที่สุด และคนเลวที่สุด
ความรัก ทำให้เกิดการแบ่งปัน แก้ปัญหาสังคมแบบสุดโต่ง ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจน
ไม่มีคนฉลาด ไม่มีคนโง่
ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว
ความรัก ทำให้เกิดความพอดี : เพราะสังคนนั้น คนกลุ่มนั้นจะไม่มีใครสักคนขัดสน เพราะ “กลุ่มผู้มีความเชื่อ ดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป้นของส่วนร่วม”
ความรัก ทำให้เกิดความพอประมาณ : รับรู้ถึงความพอประมาณ ซึ่งได้มาและการให้ไปของสิ่งของเงินทอง
ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างมีเหตุผล : รับรู้ด้วยความเข้าใจและออกไปสู่การปฏิบัติจริงในสังคม
ทำให้เกิดมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี : รับรู้ถึงคุณค่าที่กระทำและไม่หวังตอบแทน
โดย นางสุภาภรณ์ เรือนหล้า
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติราชการประจำสำนักงานวัฒนธรรมอำเภอเถิน
ความรัก เข้าปะปนกับสังคมแบบสุดโต่ง ในปัจจุบัน คือ มีคนรวยที่สุด และคนจนที่สุด
มีคนฉลาดที่สุด และคนโง่ที่สุด
มีคนดีที่สุด และคนเลวที่สุด
ความรัก ทำให้เกิดการแบ่งปัน แก้ปัญหาสังคมแบบสุดโต่ง ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจน
ไม่มีคนฉลาด ไม่มีคนโง่
ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว
ความรัก ทำให้เกิดความพอดี : เพราะสังคนนั้น คนกลุ่มนั้นจะไม่มีใครสักคนขัดสน เพราะ “กลุ่มผู้มีความเชื่อ ดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป้นของส่วนร่วม”
ความรัก ทำให้เกิดความพอประมาณ : รับรู้ถึงความพอประมาณ ซึ่งได้มาและการให้ไปของสิ่งของเงินทอง
ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างมีเหตุผล : รับรู้ด้วยความเข้าใจและออกไปสู่การปฏิบัติจริงในสังคม
ทำให้เกิดมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี : รับรู้ถึงคุณค่าที่กระทำและไม่หวังตอบแทน
โดย นางสุภาภรณ์ เรือนหล้า
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติราชการประจำสำนักงานวัฒนธรรมอำเภอเถิน
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
ชามะละกอ... ล้างไขมันที่เกาะติดผนังลำไส้
โดย ลักขณา แสงแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ชามะละกอเป็นน้ำสมุนไพรที่ช่วยล้างระบบดูดซึมของร่างกายของคนเรา โดยปกติระบบดูดซึมของคนเราก็จะมีลำไส้เล้ก ลำไส้ใหญ่ การที่คนเราป่วยเป็นโรคต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อก็เนื่องมาจากระบบต่างๆในร่างกายของเราทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจาก ระบบดูดซึมบกพร่องไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อไปใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ เมื่อระบบดูซึมบกพร่องระบบ ที่เกี่ยวพันต่อเนื่องก็จะรวนและทำงานบกพร่องไปตามๆ กัน ทั้งถุงน้ำดี ตับ ไต ชามะละกอเป็นน้ำสมุนไพรที่ใช้ล้างไขมันที่เกาะติดผนังลำไส้ได้ดีมากดีมาก นอกเหนือจากการทานโยเกิร์ตผสมเพื่อให้แลคโตบาสิลัสไปกัดกินไขมันหรือเชื้อโรคที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้แล้ว การทานชามะละกอเป็น ประจำหลังทานอาหารมันๆ ก็จะช่วยให้ผนังลำไส้ไม่เกรอะกรังไปด้วยไขมันส่วนผสม - มะละกอดิบ 1/2 ลูก - ดอกเก็กฮวยหรือใบเตย 1 กำมือ- ชาจีน หรือชาเขียว หรือ ชาใบหม่อน 1/2 กำมือ - น้ำเปล่า 4 ลิตร
วิธีทำ - ปอกล้างมะละกอและหั่นเป็นชิ้นแบบฟัก - ใส่น้ำมะละกอ หั่นดอกเก็กฮวยล้างแล้วลงไปต้มจนเดือด พอเดือดช้อนมะละกอและดอกเก็กฮวยออก - ใส่ใบชาจีนที่ล้างสะอาดลงไปแช่ในน้ำ 5 นาที ตักใบชาขึ้น นำไปดื่มล้างไขมันได้เลย ถ้าเหลือก็ใส่ขวดแช่เย็น ไว้ดื่มได้อีก 2 วันโดยไม่เสีย*** ห้ามแช่ใบชาเกิน 5 นาที เพราะถ้าเกิน 5 นาที สารแทนนิน ของใบชาจะออกมาจากใบชา กินแล้วทำให้ท้องผูก นอนไม่หลับ***
สารของมะละกอจะเกิดการถักทอกับสารของใบชา ทำให้ช่วยย่อยไขมัน และล้างไขมันออกจากผนังลำไส้ ควรดื่มเพื่อล้างเป็นประจำ ดื่มแทนน้ำอัดลมได้ ถ้าไม่ล้างลำไส้ก็เปรียบเสมือนกินข้าวไม่ล้างจาน แล้วใช้จานใบเก่าที่ไม่ล้างเอามาใส่ข้าวกินใหม่
การทำชามะละกอกินเพื่อล้างลำไส้ให้ได้ประโยชน์ ที่จริงแล้วไม่ควรเติมน้ำตาล ยกตัวอย่างเช่น เรากินข้าวขาหมู แล้วกินของหวานหรือชาที่เติมน้ำตาล มันจะทำให้ไขมันกลายเป็นไขมันฝ่ายร้ายได้ หรือมื้อไหนที่เรากินไขมัน เช่น เนื้อติดมันก็ไม่ควรกินของหวานตามเข้าไป ควรกินกระเทียมเป็นตัวลดโคเลสเตอรอล แล้วกลับมาบ้านเราก็กินชามะละกอเพื่อล้างไขมันลำไส้ออกไป
ข้อมูลจาก คู่มือเพื่อสุขภาพดี ราศีแจ่มใส
ชามะละกอเป็นน้ำสมุนไพรที่ช่วยล้างระบบดูดซึมของร่างกายของคนเรา โดยปกติระบบดูดซึมของคนเราก็จะมีลำไส้เล้ก ลำไส้ใหญ่ การที่คนเราป่วยเป็นโรคต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อก็เนื่องมาจากระบบต่างๆในร่างกายของเราทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจาก ระบบดูดซึมบกพร่องไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อไปใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ เมื่อระบบดูซึมบกพร่องระบบ ที่เกี่ยวพันต่อเนื่องก็จะรวนและทำงานบกพร่องไปตามๆ กัน ทั้งถุงน้ำดี ตับ ไต ชามะละกอเป็นน้ำสมุนไพรที่ใช้ล้างไขมันที่เกาะติดผนังลำไส้ได้ดีมากดีมาก นอกเหนือจากการทานโยเกิร์ตผสมเพื่อให้แลคโตบาสิลัสไปกัดกินไขมันหรือเชื้อโรคที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้แล้ว การทานชามะละกอเป็น ประจำหลังทานอาหารมันๆ ก็จะช่วยให้ผนังลำไส้ไม่เกรอะกรังไปด้วยไขมันส่วนผสม - มะละกอดิบ 1/2 ลูก - ดอกเก็กฮวยหรือใบเตย 1 กำมือ- ชาจีน หรือชาเขียว หรือ ชาใบหม่อน 1/2 กำมือ - น้ำเปล่า 4 ลิตร
วิธีทำ - ปอกล้างมะละกอและหั่นเป็นชิ้นแบบฟัก - ใส่น้ำมะละกอ หั่นดอกเก็กฮวยล้างแล้วลงไปต้มจนเดือด พอเดือดช้อนมะละกอและดอกเก็กฮวยออก - ใส่ใบชาจีนที่ล้างสะอาดลงไปแช่ในน้ำ 5 นาที ตักใบชาขึ้น นำไปดื่มล้างไขมันได้เลย ถ้าเหลือก็ใส่ขวดแช่เย็น ไว้ดื่มได้อีก 2 วันโดยไม่เสีย*** ห้ามแช่ใบชาเกิน 5 นาที เพราะถ้าเกิน 5 นาที สารแทนนิน ของใบชาจะออกมาจากใบชา กินแล้วทำให้ท้องผูก นอนไม่หลับ***
สารของมะละกอจะเกิดการถักทอกับสารของใบชา ทำให้ช่วยย่อยไขมัน และล้างไขมันออกจากผนังลำไส้ ควรดื่มเพื่อล้างเป็นประจำ ดื่มแทนน้ำอัดลมได้ ถ้าไม่ล้างลำไส้ก็เปรียบเสมือนกินข้าวไม่ล้างจาน แล้วใช้จานใบเก่าที่ไม่ล้างเอามาใส่ข้าวกินใหม่
การทำชามะละกอกินเพื่อล้างลำไส้ให้ได้ประโยชน์ ที่จริงแล้วไม่ควรเติมน้ำตาล ยกตัวอย่างเช่น เรากินข้าวขาหมู แล้วกินของหวานหรือชาที่เติมน้ำตาล มันจะทำให้ไขมันกลายเป็นไขมันฝ่ายร้ายได้ หรือมื้อไหนที่เรากินไขมัน เช่น เนื้อติดมันก็ไม่ควรกินของหวานตามเข้าไป ควรกินกระเทียมเป็นตัวลดโคเลสเตอรอล แล้วกลับมาบ้านเราก็กินชามะละกอเพื่อล้างไขมันลำไส้ออกไป
ข้อมูลจาก คู่มือเพื่อสุขภาพดี ราศีแจ่มใส
"ควันขาว ภัยที่ไม่ควรมองข้าม"
ควัขาวจากจักรยานยนต์ ในปัจจุบันรถจักรยานยนต์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสภาพการจราจรแออัด จึงต้องการพาหนะที่มีความคล่องตัวสูง และสามารถขับเคลื่อนไปได้ดี รถจักรยายนต์ที่ใช้มี ๒ ประเภท คือ รถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ ๒ จังหวะ และ ๔ จังหวะ ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ ๒ จังหวะ ได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากสามารถให้สมรรถนะเป็นที่พอใจแก่ผู้ขับขี่ มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ซ่อมแซมง่าย “ควันขาว” คือ กลุ่มของละอองน้ำมันหล่อลื่นที่ยังไม่เผาไหม้หรือเผาไหม้เพียงบางส่วน เมื่อกระทบกับบรรยากาศภายนอกที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ก็จะควบแน่น มองเห็นเป็นควันขาวออกมาจากท่อไอเสีย สาเหตุของการเกิดควันขาว เนื่องจากรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ จำเป็นต้องมีการหล่อลื่นชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ต่าง ๆ เช่น เพลาข้อเหวี่ยง ลูกสูบ ผนังกระบอกสูง ตลับลูกปืน ฯลฯ ซึ่งส่วนผสมของอากาศ น้ำมันเชื้อเพลิงและมันหล่อลื่นที่อยู่ในส่วนผสมก็จะมีโอกาสสัมผัสกับชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่ในการหล่อลื่นและระบายความร้อน ต่อมาเมื่อส่วนผสมไหลออกมาจากห้องเพลาข้อเหวี่ยงเข้าไปในห้องเผาไหม้ น้ำมันหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบหลักเป็น mineral oil เช่น bright stock ซึ่งเป็นสารที่เผาไหม้ยาก จะไม่ถูกเผาไปพร้อมกับน้ำมันเชื้อเพลิง จึงทำให้บางส่วนของน้ำมันหล่อลื่นเกาะอยู่ตามผนังห้องเผาไหม้ และช่องระบายไอเสีย ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะระเหยแล้วผสมกับไอเสียไหลออกสู่บรรยากาศ ไอน้ำมันหล่อลื่นที่ยังไม่เผาไหม้เมื่อกระทบกับบรรยากาศภายนอกที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าก็จะควบแน่นเป็นละอองน้ำมัน มองเห็นเป็นควันขาวที่ออกจากท่อไอเสียอย่างชัดเจน น้ำมันหล่อลื่น โดยทั่วไปคุณสมบัติของน้ำมันหล่อลื่นที่ดี ควรมีความสามารถในการหล่อลื่นสูง มีความต้านทานการครูดกร่อนของกระบอกสูบได้ดี มีความต้านทานต่อการติดเกาะของแหวนลูกสูบ ไม่ทำให้เกิดเขม่าแข็งอุดตันที่ช่องระบายไอเสีย และทำให้เกิดควันขาวน้อย แต่น้ำมันหล่อลื่นแบบธรรมดาส่วนใหญ่มักใช้ mineral oil เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งจะให้สมรรถนะในการหล่อลื่น ที่ดี แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดควันขาวมาก และเกิดเขม่าแข็งอุดตันช่องระบายไอเสีย ปัจจุบันได้กำหนดมาตรฐานน้ำมันหล่อลื่นแบบลดควันขาว (Low Smoke) เป็นมาตรฐานบังคับ ซึ่งน้ำมันหล่อลื่นที่ได้มาตรฐานต้องทำให้เกิดควันขาวน้อยกว่าร้อยละ ๓๐ อันตรายของควันขาว อันตรายต่อร่างกาย ทำให้มีอาการแสบและระคายเคืองตา ระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดโรคมะเร็ง อันตรายต่อสภาพแวดล้อม ทำให้เกิดสภาพหมอกควัน บดบังทัศนะวิสัยในการมองเห็น อันตรายต่อเครื่องยนต์ เกิดการอุดตันที่ช่องระบายไอเสียในเวลาอันรวดเร็วทำให้ไอเสียระบายออก ได้ลำบาก เครื่องยนต์มีสมรรถนะต่ำ แรงม้าลดลง ต้องทำการซ่อมบำรุงบ่อย วิธีที่จะลดปริมาณควันขาว การลดอัตราส่วนผสมระหว่างน้ำมันหล่อลื่นต่อน้ำมันเชื้อเพิลง แต่ยังคงรักษาสมรรถนะในการหล่อลื่นให้คงที่ ซึ่งทำให้ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันหล่อลื่นและวัสดุที่ใช้ผลิตเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นตามคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต การลดหรือเปลี่ยนองค์ประกอบหลักจาก mineral oil โดยใช้สารตัวใหม่ เช่น สาร polyisobutene ซึ่งสามารถทำหน้าที่ในการหล่อลื่นได้เหมือนกับ mineral oil และก่อให้เกิดควันขาวน้อย ประชาชนควรบำรุงรักษาเครื่องยนต์เพื่อป้องกันและลดควันขาว ไม่ควรปรับแต่งวาล์วจ่ายน้ำมันหล่อลื่นให้มากขึ้นกว่าเดิมจากที่บริษัทกำหนดไว้ ใช้น้ำมันหล่อลื่นชนิดลดควันขาว (Low Smoke Oil) ที่ได้รับมาตรฐาน สมอ. ไม่เติมน้ำมันหล่อลื่นในถังน้ำมันเชื่อเพลิง หมั่นตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ตามคำแนะนำของผู้ผลิตอยู่เสมอ……………….. (ทินกร สุริกัน ผอ.กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ) ที่มา : เอกสารประชาสัมพันธ์ "ควันขาว ภัยที่ไม่ควรมองข้าม" กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
โคม
โคมหูกระต่ายเป็นโคมลอยลักษณะทรงแปดเหลี่ยมกลม และมีสามเหลี่ยมด้านเท่าอยู่บริเวณด้านบนของโคมเหมือนหูกระต่าย โคมหูกระต่ายเป็นหนึ่งในประเภทของโคมแขวนใช้ในงานมงคลต่างๆ และเพื่อนำไปถวายวัดตามศรัทธา
โคมบะเต้า
โคมบะเต้าหรือโคมรังผึ้งเป็นโคมแขวนทรงแปดเหลี่ยม โดยที่รูปทรงจะเป็นด้านเหลี่ยมซ้อนกันหลายชั้น ความหมายของโคมบะเต้า คือความรุ่งเรืองและความสว่างสุกใส โคมบะเต้ายังนิยมใช้ในงานบุญต่างๆ และการถวายวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา โคมกระบอก
โคมกระบอกหรือโคมสายเป็นที่นิยมใช้แขวนเป็นแถวยาวตามบริเวณรั้วของสถานที่ที่ทำการจัดงานบุญหรืองานรื่นเริงต่างๆ
โดย นางเครือวัลย์ ธรมายอดดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
โคมบะเต้าหรือโคมรังผึ้งเป็นโคมแขวนทรงแปดเหลี่ยม โดยที่รูปทรงจะเป็นด้านเหลี่ยมซ้อนกันหลายชั้น ความหมายของโคมบะเต้า คือความรุ่งเรืองและความสว่างสุกใส โคมบะเต้ายังนิยมใช้ในงานบุญต่างๆ และการถวายวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา โคมกระบอก
โคมกระบอกหรือโคมสายเป็นที่นิยมใช้แขวนเป็นแถวยาวตามบริเวณรั้วของสถานที่ที่ทำการจัดงานบุญหรืองานรื่นเริงต่างๆ
โดย นางเครือวัลย์ ธรมายอดดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553
สร้างสุขคลายเครียด
โดย นางสาวจิราพร มณฑาทอง
นักวิชาการชำนาญการ
ทุกวันนี้ เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสังคมเต็มไปด้วยความเครียด เมื่อความเครียดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น เราควรหาเวลาว่างในการลดความเครียดของตนเอง เพื่อป้องกันมิให้รู้สึกเครียดจนเกินไป วิธีลดความเครียดอันดับแรก จะต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง นั่นคือการระงับอารมณ์และความโกรธไม่ให้พลุ่งพล่านได้ง่าย เนื่องจากผลวิจัยทางการแพทย์ได้ระบุว่า กลุ่มคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและโกรธง่ายนั้นจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ใจเย็นและไม่โกรธง่ายถึง ๓ เท่า ดังนั้นหากเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เป็นประจำต้องบอกให้ตัวเองว่าให้ทำใจเย็นลงบ้าง เช่น เมื่อรู้สึกโกรธก็พยายามระงับความโกรธด้วยการคิดถึงโทษของความโกรธ รวมทั้งการฝึกสมาธิก็จะช่วยให้จิตใจ สงบ ผ่อนคลายได้
นอกจากนี้ เวลาที่มีเหตุต้องทะเลาะกันหรือมีปากเสียงกับผู้อื่น วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความเครียดที่เกิดจากการทะเละก็คือการไม่นำเรื่องดังกล่าวมาคิดมากเพราะเสี่ยงต่อการเกิดฮอร์โมนความเครียด ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของหัวใจได้ วิธีลดความเครียดลำดับต่อมา คือ หากิจกรรมต่าง ๆ ทำเพื่อคลายเครียดไม่ว่าจะเป็นไปนวดบำบัด ซึ่งการนวดนั้นนอกจากจะให้ความรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขแล้วก็จะช่วยลดความดันโลหิต ทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดภายในร่างกายดีขึ้นอีกด้วย อีกหนทางหนึ่งสำหรับคนที่อยู่เพียงลำพัง บางครั้งอาจรู้สึกเหงาและเครียดลองหาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อนคู่ใจ เช่น สุนัข แมว นก ฯลฯ ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจเพราะจะทำให้เราเพลิดเพลินไปกับการดูแลสัตว์ที่เราเอามาเลี้ยง หรือเราอาจจะหากิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การฟังเพลง การทำสวนดอกไม้ การเดินทางไปท่องเที่ยว เชิงธรรมชาติในสถานที่ต่าง ๆ ก็จะทำให้ลดความเครียดที่เกิดขึ้นกับเราได้เหมือนกัน
สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราห่างไกลจากความเครียด คือ พยายามบอกตนเองอยู่เสมอว่า โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น หากเราเจอกับเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ หรือทำให้เรารู้สึกว่าผิดหวัง ก็ไม่จำเป็นต้อรู้สึกเครียดไปกับเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น การที่เราไม่รู้สึกเครียดและยอมรับกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ จะทำให้เรามีจิตใจที่สงบ ไม่อ่อนไหวไปกับเหตุการณ์นั้น ๆ ก็จะทำให้ชีวิตของเรามีแต่ความสุขในโลกใบนี้
ด้วยวิธีการคิดและวิธีปฏิบัติแบบง่าย ๆ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและวุ่นวายอย่างเช่นปัจจุบันได้อย่างราบรื่นและเป็นสุข ด้วยวิธีการดังกล่าว หากเราไม่ต้องการที่จะเป็นคนไม่มีความสุขในสังคม ลองนำวิธีการนี้ได้ปฏิบัติดู ก็อาจจะทำให้ชีวิตของคุณดำรงอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขก็อาจเป็นไปได้ ลองดูนะคะ
นักวิชาการชำนาญการ
ทุกวันนี้ เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสังคมเต็มไปด้วยความเครียด เมื่อความเครียดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น เราควรหาเวลาว่างในการลดความเครียดของตนเอง เพื่อป้องกันมิให้รู้สึกเครียดจนเกินไป วิธีลดความเครียดอันดับแรก จะต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง นั่นคือการระงับอารมณ์และความโกรธไม่ให้พลุ่งพล่านได้ง่าย เนื่องจากผลวิจัยทางการแพทย์ได้ระบุว่า กลุ่มคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและโกรธง่ายนั้นจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ใจเย็นและไม่โกรธง่ายถึง ๓ เท่า ดังนั้นหากเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เป็นประจำต้องบอกให้ตัวเองว่าให้ทำใจเย็นลงบ้าง เช่น เมื่อรู้สึกโกรธก็พยายามระงับความโกรธด้วยการคิดถึงโทษของความโกรธ รวมทั้งการฝึกสมาธิก็จะช่วยให้จิตใจ สงบ ผ่อนคลายได้
นอกจากนี้ เวลาที่มีเหตุต้องทะเลาะกันหรือมีปากเสียงกับผู้อื่น วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความเครียดที่เกิดจากการทะเละก็คือการไม่นำเรื่องดังกล่าวมาคิดมากเพราะเสี่ยงต่อการเกิดฮอร์โมนความเครียด ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของหัวใจได้ วิธีลดความเครียดลำดับต่อมา คือ หากิจกรรมต่าง ๆ ทำเพื่อคลายเครียดไม่ว่าจะเป็นไปนวดบำบัด ซึ่งการนวดนั้นนอกจากจะให้ความรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขแล้วก็จะช่วยลดความดันโลหิต ทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดภายในร่างกายดีขึ้นอีกด้วย อีกหนทางหนึ่งสำหรับคนที่อยู่เพียงลำพัง บางครั้งอาจรู้สึกเหงาและเครียดลองหาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อนคู่ใจ เช่น สุนัข แมว นก ฯลฯ ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจเพราะจะทำให้เราเพลิดเพลินไปกับการดูแลสัตว์ที่เราเอามาเลี้ยง หรือเราอาจจะหากิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การฟังเพลง การทำสวนดอกไม้ การเดินทางไปท่องเที่ยว เชิงธรรมชาติในสถานที่ต่าง ๆ ก็จะทำให้ลดความเครียดที่เกิดขึ้นกับเราได้เหมือนกัน
สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราห่างไกลจากความเครียด คือ พยายามบอกตนเองอยู่เสมอว่า โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น หากเราเจอกับเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ หรือทำให้เรารู้สึกว่าผิดหวัง ก็ไม่จำเป็นต้อรู้สึกเครียดไปกับเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น การที่เราไม่รู้สึกเครียดและยอมรับกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ จะทำให้เรามีจิตใจที่สงบ ไม่อ่อนไหวไปกับเหตุการณ์นั้น ๆ ก็จะทำให้ชีวิตของเรามีแต่ความสุขในโลกใบนี้
ด้วยวิธีการคิดและวิธีปฏิบัติแบบง่าย ๆ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและวุ่นวายอย่างเช่นปัจจุบันได้อย่างราบรื่นและเป็นสุข ด้วยวิธีการดังกล่าว หากเราไม่ต้องการที่จะเป็นคนไม่มีความสุขในสังคม ลองนำวิธีการนี้ได้ปฏิบัติดู ก็อาจจะทำให้ชีวิตของคุณดำรงอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขก็อาจเป็นไปได้ ลองดูนะคะ
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553
มารู้จักเครื่องดื่มสมุนไพรที่ให้ประโยชน์
โดย นายอนุวัต ปราชญ์เวทย์
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
น้ำตะไคร้
เราจะเห็นได้ว่า ตะไคร้นั้นเป็นเครื่องครัวที่มีมานาน นับรุ่นต่อรุ่นโดยส่วยใหญ่แล้ว เขาจะใช้ประกอบอาหารกันแต่ปัจจุบันนี้ ตะไคร้ได้ถูกดัดแปลงนำมาทำเป็นน้ำดื่มสมุนไพรกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าประโยชน์นั้นมีมากพอสมควร มาดูกันครับ ประโยชน์ของตะไคร้ คือ ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด จุกเสียดแน่นท้อง ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต แก้นิ่ว นี่ล่ะครับ คือประโยชน์ที่แท้จริงของตะไคร้
เรามาเตรียมการทำน้ำตะไคร้กันเถอะ
การเตรียม
1. ตะไคร้ 4-5ต้น ล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นท่อนๆ
2. น้ำตาลทราย เล็กน้อยหรือไม่ใส่ก็ได้
3. เกลือป่น เล็นน้อยหรือ 1หยิบมือ
4.น้ำสะอาด 1-1กะอีกครึ่ง ลิตร
วิธีทำ
1.นำตะไคร้ที่ได้เตรียมไว้ทุบให้แตก หรือ หั่นเอาก็ได้
2.นำตะไคร้และน้ำใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง ประมาณครึ่งชั่วโมง จะได้น้ำสีเขียวอ่อนๆ
3. ยกน้ำตะไคร้ลงกรองเอาเศษออกให้หมด จากนั้นเอาน้ำตะไคร้ตั้งไฟอีกครั้งจนเดือด
4. เติมน้ำตาลทรายหรือเกลือลงเล็กน้อยชิมรสชาติให้ออกหวานเพียงนิดเดียว
(น้ำตะไคร้ไม่เหมาะกับรสหวานมาก)
5. เป็นได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็นรสชาติจะออก ฉุนๆที่จมูกนิดหน่อยครับ แต่เมื่อรับประทานบ่อยๆจะได้คุณค่าครบเลย
ที่มา : จากการสัมภาษณ์ นางทับทิม ปราชญ์เวทย์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
น้ำตะไคร้
เราจะเห็นได้ว่า ตะไคร้นั้นเป็นเครื่องครัวที่มีมานาน นับรุ่นต่อรุ่นโดยส่วยใหญ่แล้ว เขาจะใช้ประกอบอาหารกันแต่ปัจจุบันนี้ ตะไคร้ได้ถูกดัดแปลงนำมาทำเป็นน้ำดื่มสมุนไพรกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าประโยชน์นั้นมีมากพอสมควร มาดูกันครับ ประโยชน์ของตะไคร้ คือ ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด จุกเสียดแน่นท้อง ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต แก้นิ่ว นี่ล่ะครับ คือประโยชน์ที่แท้จริงของตะไคร้
เรามาเตรียมการทำน้ำตะไคร้กันเถอะ
การเตรียม
1. ตะไคร้ 4-5ต้น ล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นท่อนๆ
2. น้ำตาลทราย เล็กน้อยหรือไม่ใส่ก็ได้
3. เกลือป่น เล็นน้อยหรือ 1หยิบมือ
4.น้ำสะอาด 1-1กะอีกครึ่ง ลิตร
วิธีทำ
1.นำตะไคร้ที่ได้เตรียมไว้ทุบให้แตก หรือ หั่นเอาก็ได้
2.นำตะไคร้และน้ำใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง ประมาณครึ่งชั่วโมง จะได้น้ำสีเขียวอ่อนๆ
3. ยกน้ำตะไคร้ลงกรองเอาเศษออกให้หมด จากนั้นเอาน้ำตะไคร้ตั้งไฟอีกครั้งจนเดือด
4. เติมน้ำตาลทรายหรือเกลือลงเล็กน้อยชิมรสชาติให้ออกหวานเพียงนิดเดียว
(น้ำตะไคร้ไม่เหมาะกับรสหวานมาก)
5. เป็นได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็นรสชาติจะออก ฉุนๆที่จมูกนิดหน่อยครับ แต่เมื่อรับประทานบ่อยๆจะได้คุณค่าครบเลย
ที่มา : จากการสัมภาษณ์ นางทับทิม ปราชญ์เวทย์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ประวัตินางสงกรานต์
นางสงกรานต์ เป็นคติความเชื่ออยู่ในตำนานสงกรานต์ อันเป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของ
ประเพณีดังกล่าว เป็นอุบายเพื่อให้คนโบราณได้รู้ว่าวันมหาสงกรานต์ คือ วันที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นการเถลิงศกใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติตรงกับวันใด โดยสมมุติผ่านนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ ปีไหนตรงกับวันใด นางสงกรานต์ที่มีชื่อสมมุติเข้ากับวันนั้นๆ ก็จะเป็นผู้อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ไปสรงน้ำ ซึ่งนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดนี้ เป็นเทพธิดาลูกสาวท้าวกบิลพรหม และเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ จากตำนานเล่าถึงท้าวกบิลพรหมแพ้พนันธรรมบาลกุมาร ต้องตัดเศียรออกบูชาธรรมบาลกุมารตามสัญญา แต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้นไม่ว่าจะเป็นบนอากาศ บนดินหรือในน้ำ ดังนั้น ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับและนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด ๓๖๕ วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆ ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “ นางสงกรานต์” ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะกบิล หมายถึง สีแดงนั่นเอง
นางสงกรานต์ของแต่ละวัน จะมีนาม อาหาร อาวุธ และสัตว์ที่เป็นพาหน ต่างๆ กัน ดังนี้
๑. วันอาทิตย์ ชื่อ ทุงษะ
ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราค ภักษาหารผลมะเดื่อ อาวุธขวาจักร ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ
๒. วันจันทร์ ชื่อ โคราคะ ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารน้ำมัน อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้เท้า พาหนะเสือ ๓. วันอังคาร ชื่อ รากษส ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับโมรา ภักษาหารโลหิต อาวุธขวา ตรีศูล ซ้ายธนู พาหนะสุกร
๔. วันพุธ ชื่อ มัณฑา ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้เท้า พาหนะลา
๕. วันพฤหัสบดี ชื่อ กิริณี ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน พาหนะช้าง๖. วันศุกร์ ชื่อ กิมิทา ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำว้า อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะกระบือ
๗. วันเสาร์ ชื่อ มโหทร ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร ซ้ายตรีศูล พาหนะนกยูง
สำหรับพุทธศาสนิกชน วันสงกรานต์ ถือเป็นวันมหามงคล ที่ครอบครัว ญาติพี่น้องได้อยู่
พร้อมหน้ากัน ได้ทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ธรรม สรงน้ำพระเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ทั้งยังเป็นวันครอบครัว
ดูแลผู้สูงอายุ รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้มีพระคุณ สร้างความผาสุก ร่มเย็น เจริญรุ่งเรือง ทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว
และสังคมสืบไป
โดย วนิดาพร ธิวงศ์
ประเพณีดังกล่าว เป็นอุบายเพื่อให้คนโบราณได้รู้ว่าวันมหาสงกรานต์ คือ วันที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นการเถลิงศกใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติตรงกับวันใด โดยสมมุติผ่านนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ ปีไหนตรงกับวันใด นางสงกรานต์ที่มีชื่อสมมุติเข้ากับวันนั้นๆ ก็จะเป็นผู้อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ไปสรงน้ำ ซึ่งนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดนี้ เป็นเทพธิดาลูกสาวท้าวกบิลพรหม และเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ จากตำนานเล่าถึงท้าวกบิลพรหมแพ้พนันธรรมบาลกุมาร ต้องตัดเศียรออกบูชาธรรมบาลกุมารตามสัญญา แต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้นไม่ว่าจะเป็นบนอากาศ บนดินหรือในน้ำ ดังนั้น ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับและนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด ๓๖๕ วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆ ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “ นางสงกรานต์” ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะกบิล หมายถึง สีแดงนั่นเอง
นางสงกรานต์ของแต่ละวัน จะมีนาม อาหาร อาวุธ และสัตว์ที่เป็นพาหน ต่างๆ กัน ดังนี้
๑. วันอาทิตย์ ชื่อ ทุงษะ
ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราค ภักษาหารผลมะเดื่อ อาวุธขวาจักร ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ
๒. วันจันทร์ ชื่อ โคราคะ ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารน้ำมัน อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้เท้า พาหนะเสือ ๓. วันอังคาร ชื่อ รากษส ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับโมรา ภักษาหารโลหิต อาวุธขวา ตรีศูล ซ้ายธนู พาหนะสุกร
๔. วันพุธ ชื่อ มัณฑา ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้เท้า พาหนะลา
๕. วันพฤหัสบดี ชื่อ กิริณี ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน พาหนะช้าง๖. วันศุกร์ ชื่อ กิมิทา ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำว้า อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะกระบือ
๗. วันเสาร์ ชื่อ มโหทร ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร ซ้ายตรีศูล พาหนะนกยูง
สำหรับพุทธศาสนิกชน วันสงกรานต์ ถือเป็นวันมหามงคล ที่ครอบครัว ญาติพี่น้องได้อยู่
พร้อมหน้ากัน ได้ทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ธรรม สรงน้ำพระเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ทั้งยังเป็นวันครอบครัว
ดูแลผู้สูงอายุ รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้มีพระคุณ สร้างความผาสุก ร่มเย็น เจริญรุ่งเรือง ทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว
และสังคมสืบไป
โดย วนิดาพร ธิวงศ์
ข้าวนึ่งคนเมือง : ข้าวเหนียวคนลาว
มันทนา กันสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง
ข้าวนึ่งคนเมือง : ข้าวเหนียวคนลาว โดยความหมายแล้ว ก็คือ ข้าวเหนียวที่เรารู้จักกันนั่นเอง แต่การเรียกชื่อ ได้เรียกกันตามภาษาถิ่นของแต่ละพื้นที่ ข้าวเหนียวถือได้ว่าเป็นอาหารหลักของคนเหนือและคนอีสาน เพราะข้าวเหนียวรับประทานแล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน ไม่หิวบ่อย แต่การรับประทานมากเกินไป จะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้
เคยมีคนตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับข้าวเหนียว จึงขอนำเสนอความรู้เพื่อประกอบ เช่น
๑. “ทำไมข้าวเหนียวจึงเหนียวกว่าข้าวจ้าว” ก็เพราะ ข้าวเหนียวและข้าวจ้าวนั้นมีส่วนประกอบสำคัญคือแป้งหรือ starch คือเป็น กลูโคสโพลีเมอร์ แบบหนึ่ง แต่ แป้งข้าวเหนียวนั้นประกอบด้วยสารที่เรียกว่า อะมิโลเพกติน ทั้งหมดหรือเกือบหมด อะมิโลสนี้ทำให้ข้าวเหนียวเกาะตัวกันเป็นก้อนเมื่อเคี้ยว แตกต่างไปจากข้าวจ้าวซึ่งมีอะมิโลสน้อยกว่า
๒. “ข้าวเหนียวมีโปรตีนมากกว่าข้าวจ้าวใช่หรือไม่” คำตอบคือไม่ได้มีมากกว่า ทั้งข้าวเหนียวและข้าวจ้าวนั้นมีโปรตีนอยู่ในเมล็ดข้าวด้วยในราว ๖ - ๘ % แต่ข้าวเหนียวบางพันธุ์อาจจะมีมากหน่อยถึง ๑๑% แต่ก็ไม่จัดว่ามากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามข้าวที่มีเมล็ดสีแดงหรือน้ำตาลนั้นโดยปกติจะมีโปรตีนสูงกว่าข้าวที่มีเมล็ดสีขาว
๓. “ข้าวเหนียวมีผลร้ายต่อคนเป็นโรคเบาหวานหรือไม่” คำตอบคือคาร์โบไฮเดรตนั้นล้วนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดต่างกัน นักโภชนาการได้กำหนดดัชนีน้ำตาลไว้ว่า ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงกว่า ๗๐ สำหรับข้าวจ้าวนั้นมีค่าดัชนีน้ำตาล ๗๑ และ ข้าวเหนียว ๗๕ จัดว่าสูงด้วยกันทั้งคู่ แต่ข้าวเหนียวสูงกว่าเล็กน้อย สำหรับข้าวกล้องของทั้งข้าวจ้าวและข้าวเหนียวมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขัดสีพันธุ์เดียวกัน ดังนั้นจึงควรรับประทานข้าวกล้องมากกว่าข้าวที่ขัดสีแล้ว
ไม่ว่าข้าวเหนียวนึ่งจะมีผลดีหรือผลร้ายต่อผู้บริโภคแค่ไหน วัฒนธรรมการกินข้าวเหนียวก็ไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะความคุ้นเคย หรือความอร่อย หอมนุ่มลิ้น ยิ่งถ้ามาเจอกับหมูปิ้งร้อน ๆ ด้วยแล้ว โอ้ย !! สุดยอดไปเลย ... ดังนั้นถ้าเราต้องการสร้างวัฒนธรรมการกินข้าวเหนียวสำหรับคนไทยแล้ว ควรแนะนำให้รับประทานอย่างถูกวิธี นั่นคือ รับประทานแต่พออิ่ม ไม่ควรรีบร้อนเกินไป เพราะอาจจะติดคอได้ และด้วยเหตุที่ข้าวเหนียวอิ่มทนนานกว่าข้าวจ้าว และให้พลังงานสูง(มาก) เมื่อกินแล้ว ออกแรงน้อยกว่าพลังงานที่รับเข้าไป แป้งจากข้าวเหนียวก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและไขมันสะสมฉะนั้น ควรกินแต่พออิ่ม และใช้พลังงานให้เหมาะสม บ่ต้องสะสมเหมือนสตางค์นะจ้าว...มันจะอ้วน...::)
ที่มา : เกร็ดความรู้เรื่องข้าวเหนียว ของท่านราชบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร. กฤษณา ชุติมา(http://www.drkanchit.com/index.html)
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง
ข้าวนึ่งคนเมือง : ข้าวเหนียวคนลาว โดยความหมายแล้ว ก็คือ ข้าวเหนียวที่เรารู้จักกันนั่นเอง แต่การเรียกชื่อ ได้เรียกกันตามภาษาถิ่นของแต่ละพื้นที่ ข้าวเหนียวถือได้ว่าเป็นอาหารหลักของคนเหนือและคนอีสาน เพราะข้าวเหนียวรับประทานแล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน ไม่หิวบ่อย แต่การรับประทานมากเกินไป จะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้
เคยมีคนตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับข้าวเหนียว จึงขอนำเสนอความรู้เพื่อประกอบ เช่น
๑. “ทำไมข้าวเหนียวจึงเหนียวกว่าข้าวจ้าว” ก็เพราะ ข้าวเหนียวและข้าวจ้าวนั้นมีส่วนประกอบสำคัญคือแป้งหรือ starch คือเป็น กลูโคสโพลีเมอร์ แบบหนึ่ง แต่ แป้งข้าวเหนียวนั้นประกอบด้วยสารที่เรียกว่า อะมิโลเพกติน ทั้งหมดหรือเกือบหมด อะมิโลสนี้ทำให้ข้าวเหนียวเกาะตัวกันเป็นก้อนเมื่อเคี้ยว แตกต่างไปจากข้าวจ้าวซึ่งมีอะมิโลสน้อยกว่า
๒. “ข้าวเหนียวมีโปรตีนมากกว่าข้าวจ้าวใช่หรือไม่” คำตอบคือไม่ได้มีมากกว่า ทั้งข้าวเหนียวและข้าวจ้าวนั้นมีโปรตีนอยู่ในเมล็ดข้าวด้วยในราว ๖ - ๘ % แต่ข้าวเหนียวบางพันธุ์อาจจะมีมากหน่อยถึง ๑๑% แต่ก็ไม่จัดว่ามากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามข้าวที่มีเมล็ดสีแดงหรือน้ำตาลนั้นโดยปกติจะมีโปรตีนสูงกว่าข้าวที่มีเมล็ดสีขาว
๓. “ข้าวเหนียวมีผลร้ายต่อคนเป็นโรคเบาหวานหรือไม่” คำตอบคือคาร์โบไฮเดรตนั้นล้วนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดต่างกัน นักโภชนาการได้กำหนดดัชนีน้ำตาลไว้ว่า ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงกว่า ๗๐ สำหรับข้าวจ้าวนั้นมีค่าดัชนีน้ำตาล ๗๑ และ ข้าวเหนียว ๗๕ จัดว่าสูงด้วยกันทั้งคู่ แต่ข้าวเหนียวสูงกว่าเล็กน้อย สำหรับข้าวกล้องของทั้งข้าวจ้าวและข้าวเหนียวมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขัดสีพันธุ์เดียวกัน ดังนั้นจึงควรรับประทานข้าวกล้องมากกว่าข้าวที่ขัดสีแล้ว
ไม่ว่าข้าวเหนียวนึ่งจะมีผลดีหรือผลร้ายต่อผู้บริโภคแค่ไหน วัฒนธรรมการกินข้าวเหนียวก็ไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะความคุ้นเคย หรือความอร่อย หอมนุ่มลิ้น ยิ่งถ้ามาเจอกับหมูปิ้งร้อน ๆ ด้วยแล้ว โอ้ย !! สุดยอดไปเลย ... ดังนั้นถ้าเราต้องการสร้างวัฒนธรรมการกินข้าวเหนียวสำหรับคนไทยแล้ว ควรแนะนำให้รับประทานอย่างถูกวิธี นั่นคือ รับประทานแต่พออิ่ม ไม่ควรรีบร้อนเกินไป เพราะอาจจะติดคอได้ และด้วยเหตุที่ข้าวเหนียวอิ่มทนนานกว่าข้าวจ้าว และให้พลังงานสูง(มาก) เมื่อกินแล้ว ออกแรงน้อยกว่าพลังงานที่รับเข้าไป แป้งจากข้าวเหนียวก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและไขมันสะสมฉะนั้น ควรกินแต่พออิ่ม และใช้พลังงานให้เหมาะสม บ่ต้องสะสมเหมือนสตางค์นะจ้าว...มันจะอ้วน...::)
ที่มา : เกร็ดความรู้เรื่องข้าวเหนียว ของท่านราชบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร. กฤษณา ชุติมา(http://www.drkanchit.com/index.html)
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553
คุ หรือ แอ่ว
อรทัย ทรงศรีสกุล
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
คุ หรือแอ่ว เป็นงานช่างฝีมือพื้นบ้านอีกชิ้นหนึ่งของภูมิปัญญาซึ่งเป็นเครื่องมือของชาวนานับหลายชั่วอายุคน เป็นภาชนะเครื่องสานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องมือเครื่องใช้ทุกอย่างของชาวนา ใช้สำหรับรองรับการฟาดข้าว และบรรจุข้าวเปลือกที่ฟาดได้ ก่อนจะนำไปเก็บที่ยุ้งฉางต่อไป สานด้วยผิวไม้ไผ่ ด้วยลายพิเศษโดยเฉพาะ เรียกว่า ลายสวาดหลวง เป็นลายทึบ แน่นและมีความละเอียดประณีตมาก เป็นภาชนะเครื่องสานที่ทำอย่างแข็งแรงทนทาน ข้าวที่ได้จากการตีด้วยคุนี้ จะได้เม็ดข้าวที่สมบูรณ์และสะอาด เพราะการตีข้าวในคุจะไม่มีกรวด หิน ดิน ทราย ปนเปื้อน เหมือนกับการตีตาลาง และการตีแคร่ซึ่งข้าวต้องตกลงกับพื้น
การเคลื่อนย้ายคุ ทำได้สะดวกและง่ายเพราะสามารถเคลื่อนย้ายคุ ไปยังกองข้าว วิธีการเคลื่อนย้ายคุ ทำได้หลายวิธีคือ
ยกคนเดียว วิธีการยกและเคลื่อนย้ายคุ สามารถทำได้ด้วยคนเพียงคนเดียว วิธีการคือ คว่ำคุครอบศีรษะ ใช้สองมือช่วยพยุงแล้วเดินนำไปวางยังจุดที่ต้องการใช้งาน
ยกสองคน คือช่วยกันจับของคุคนละข้าง สามารถทำได้ทั้งคว่ำและหงายคุ ยกเคลื่อนย้ายไปยังจุดที่ต้องการ การยก
วิธีการเก็บ บำรุง รักษา หลังการใช้งาน เนื่องจากคุเป็นภาชนะจักสานขนาดใหญ่ ที่ใช้ตีข้าวเฉพาะในฤดูเก็บเกี่ยวเท่านั้น ในระหว่างช่วงฤดูอื่นที่ไม่ได้ใช้งาน จึงต้องหาวิธีการเก็บรักษาให้คงสภาพ เพื่อให้คุมีอายุการใช้งานได้นาน ก่อนที่จะนำคุไปเก็บ เจ้าของคุมักจะนำคุไปรมควันไฟเพื่อไล่ความชื้นที่เกิดขึ้น เพราะการนำออกไปใช้ตีข้าวกลางท้องนาในฤดูหนาว ที่มีหมอกลงจับคุ ทำให้เกิดความชื้น โดยเก็บไว้ใต้ถุนเรือน เก็บไว้ในโรงเก็บคุ เก็บไว้บนขื่ออาคาร หรือเก็บไว้บนหลองข้าว (ยุ้งข้าว)
ปัจจุบันจังหวัดลำปาง มีการใช้คุตีข้าว น้อยมากจะมีบ้างในบางพื้นที่ เช่นบนพื้นที่สูง เนื่องด้วยสาเหตุที่ลักษณะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมเกษตร ซึ่งมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ ไม่เร่งรีบ ผู้คนให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มาสู่สังคมแบบอุตสาหกรรม ที่มีการใช้เครื่องจักร และเครื่องทุ่นแรงเข้ามาแทนที่แรงงานคน ค่าแรงเริ่มสูงขึ้น การเสียสละช่วยเหลือซึ่งกันและกันเริ่มหมดไปทำให้ผู้ทำการเกษตร ทำให้ผู้ทำการเกษตร นำเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการทำนา ด้วยในหลายขั้นตอน เช่น การไถก็ใช้รถไถแบเดินตาม แทนการใช้ควาย ในช่วยการตีข้าว ก็ใช้เครื่องโม่เข้ามาแทน การตีข้าว เป็นต้น แต่การายใดยังใช้คุในช่วยการตีข้าวอยู่แล้ว คุเกิดชำรุดไม่สามารถซ่อมแซมได้ เจ้าของที่นามักจะไม่ซื้อหาคุใหม่มาใช้ต่อ แต่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีตีแคร่แทน โดยนำผ้าพลาสติก ผืนใหญ่ ซึ่งหาซื้อได้ตามท้องตลาด มาปูยังจุดที่เกี่ยวข้าวกองไว้ แล้วนำพื้นแคร่มาวางรองแล้วตีข้าว
วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553
L-Carnitine คืออะไร
โดย........ นางสาวอรัญญา ฟูคำ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ
L-Carnitine เป็นชื่อของสารตัวหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของมนุษย์นั่นเอง โดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน ๒ ตัว คือ ไลซีน และเมไทโอนีน และ L-Carnitine ในร่างกายของเราก็ถูกใช้ไปในหน้าที่ต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น เข้าไปช่วยเพิ่มกระบวนการใช้ไขมัน โดยการขนส่งกรดไขมันเข้าไปในไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการสร้างพลังงานของเซลล์ ก็คือ L-Carnitine ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง ซึ่งพลังงานที่ได้มานี้ส่วนใหญ่ก็จะถูกใช้สำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย จากหน้าที่การทำงานพื้นฐานของสารชนิดนี้นี่เอง จึงทำให้สื่อโฆษณานำมาใช้เป็นประเด็นหลักในการโฆษณาในเรื่องของการลดน้ำหนัก และการเผาผลาญของร่างกาย
คุณสมบัติของ L-Carnitine
๑. ทำให้แก่ช้าลง เนื่องจาก L-Carnitine เข้าไปช่วยทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายมีอายุยืนนาขึ้นเพราะ
ได้รับพลังงานเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิด (รู้สึกสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ)
๒. ทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ อยู่ในระดับที่ต่ำ และช่วยเพิ่มระดับ HDL- คลอเรสเตอรอลในเลือดช่วยป้องกันโรคหัวใจ และการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
๓. ช่วยลดน้ำหนัก เมื่อใช้ร่วมกับวิธีการลดการบริโภคอาหารจำพวกแป้ง นอกจากนี้ยังช่วยให้ความ สามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นและป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจน ในเซลล์ไม่เพียงพอ
๔. ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
๕. ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาทอันเนื่องมาจากความเครียดและอาจจะมีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวก และลดภาวะความเครียดได้
๖. ช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของมนุษย์ด้วย
ข้อควรระวังในการใช้ L-Carnitine
L-Carnitine ค่อนข้างปลอดภัย แต่หากรับประทานเกินวันละ ๖ กรัม อาจเกิดอาการบวม ตะคริวหรือท้องเสียได้ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจตาย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ L-Carnitine และสำหรับผู้ที่แพ้อาหารประเภทโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรกินผลิตภัณฑ์ที่เสริม L-Carnitine เป็นอันขาด รวมไปถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง ๒ ขวบ และสตรีมีครรภ์ ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าไม่จำเป็น หรือใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
ที่มา : www.livewellguide.com
L-Carnitine เป็นชื่อของสารตัวหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของมนุษย์นั่นเอง โดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน ๒ ตัว คือ ไลซีน และเมไทโอนีน และ L-Carnitine ในร่างกายของเราก็ถูกใช้ไปในหน้าที่ต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น เข้าไปช่วยเพิ่มกระบวนการใช้ไขมัน โดยการขนส่งกรดไขมันเข้าไปในไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการสร้างพลังงานของเซลล์ ก็คือ L-Carnitine ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง ซึ่งพลังงานที่ได้มานี้ส่วนใหญ่ก็จะถูกใช้สำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย จากหน้าที่การทำงานพื้นฐานของสารชนิดนี้นี่เอง จึงทำให้สื่อโฆษณานำมาใช้เป็นประเด็นหลักในการโฆษณาในเรื่องของการลดน้ำหนัก และการเผาผลาญของร่างกาย
คุณสมบัติของ L-Carnitine
๑. ทำให้แก่ช้าลง เนื่องจาก L-Carnitine เข้าไปช่วยทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายมีอายุยืนนาขึ้นเพราะ
ได้รับพลังงานเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิด (รู้สึกสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ)
๒. ทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ อยู่ในระดับที่ต่ำ และช่วยเพิ่มระดับ HDL- คลอเรสเตอรอลในเลือดช่วยป้องกันโรคหัวใจ และการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
๓. ช่วยลดน้ำหนัก เมื่อใช้ร่วมกับวิธีการลดการบริโภคอาหารจำพวกแป้ง นอกจากนี้ยังช่วยให้ความ สามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นและป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจน ในเซลล์ไม่เพียงพอ
๔. ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
๕. ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาทอันเนื่องมาจากความเครียดและอาจจะมีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวก และลดภาวะความเครียดได้
๖. ช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของมนุษย์ด้วย
ข้อควรระวังในการใช้ L-Carnitine
L-Carnitine ค่อนข้างปลอดภัย แต่หากรับประทานเกินวันละ ๖ กรัม อาจเกิดอาการบวม ตะคริวหรือท้องเสียได้ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจตาย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ L-Carnitine และสำหรับผู้ที่แพ้อาหารประเภทโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรกินผลิตภัณฑ์ที่เสริม L-Carnitine เป็นอันขาด รวมไปถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง ๒ ขวบ และสตรีมีครรภ์ ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าไม่จำเป็น หรือใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
ที่มา : www.livewellguide.com
หนาวๆ กลับอาหารอร่อยๆ ๒
สวัสดีครับทุกท่าน พบกับหนาวๆ กลับอาหารอร่อยๆ อีกครั้งนะครับ ครั้งนี้ผมมีอาหารที่มาพร้อมกับฤดูหนาวอีก ๑ อย่างครับ
ถ้าทุกท่านได้เดินทางมาทางภาคเหนือตอนบน ในช่วงพฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธุ์ ตามข้างทางจะมีของรับประทานอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นแท่นขาวๆตั้งอยู่ ที่ป้ายเขียนว่า ข้าวหลามลุง....... ข้าวหลามป้า....... ตลอดข้างทาง ใช่ครับข้าวหลามครับ ปัจจุบันมีการใส่ส่วนผสมและใส้ให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะใส่ถั่วดำ ใส่เผือก ใส่งา แต่ท่านที่ทานนั้นบางท่านจะรู้หรือไม่ว่าข้าวหลาม ทำอย่างไรมีส่วนผสมอะไรบาง ทำไม่ต้องมีช่วงฤดูหนาว เรามาทำความรู้จักกันข้าวหลามกันครับ
ข้าวหลามเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่ง ที่ชาวล้านนานิยมทำรับประทานกันในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้ว...ลมหนาวพัดโชยมา เรียกว่า ลมว่าว...มาเยือน
วิธีทำ
1. ตัดไผ่ข้าวหลามหรือไม้ป้าง ให้ยาวประมาณ 12 นิ้ว ล้างเฉพาะด้านนอกกระบอก ให้สะอาด คว่ำ พักไว้ให้แห้ง 2. ผสมกะทิ น้ำตาล และเกลือ รวมกันแล้วคนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย (แบบชาวบ้าน ใช้ข้าวสารเหนียวกับน้ำเปล่า และเกลือเท่านั้น)3. ล้างข้าวสารให้สะอาด นำข้าวใส่ตระกร้าเพื่อให้สะเด็ดน้ำ ใส่ถั่วดำต้มสุกลงในข้าว คลุกเคล้าให้เข้ากัน4. นำข้าวที่ผสมถั่วดำแล้วใส่ลงในกระบอก 1 กำมือ กระแทกเบาๆ ทำสลับกันต่อไปเรื่อยๆ จนเต็มกระบอก เลือกด้านบนกระบอกไว้ประมาณ 2 นิ้ว สำหรับปิดจุก 5. เทน้ำกะทิที่ผสมแล้ว ใส่ลงไปในกระบอกข้าวทีละน้อย จนกระทั่งน้ำกะทิท่วมข้าว 6. ทำจุก ปิดกระบอกข้าวหลามโดยนำกาบมะพร้าวม้วนเป็นทรงกลมมาปิด ทิ้งไว้ประมาณ 5- 6 ชั่วโมง
(จุก จะทำมาจาก ใบตอง กากมะพร้าว หรือฟางข้าว ก็ได้)7. เผาข้าวหลามกับถ่านไม้ พอกระบอกเหลืองให้หมุนกระบอกข้าวหลาม ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที สังเกตกระบอกมีสีเหลืองทั่ว แสดงว่าข้าวหลามสุก8. ทิ้งไว้ให้อุ่น ปอกเปลือก และเหลาให้เปลือกข้าวหลามบางลง เพื่อให้แกะรับประทานได้ง่าย
การทำข้าวหลาม คนโบราณมีความในแอบแฝงอยู่นะครับ คือการทำข้าวหลามจะต้องอยู่หน้ากองไฟตลอดทำให้เกิดความอบอุ่นแก้หนาวได้ แถมมีอาหารว่าอร่อยๆท่านด้วย และที่สำคัญการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวหรือหมู่คณะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทำให้สังคมชุมชนมีความสมัครสมานสามัคคีเข้าใจกันยิ่งขึ้น และก็มีอีกในหนึ่งสำหรับคนทางภาคเหนือ ที่เกี่ยวข้องกับข้าวหลามนะครับ คือ ประเพณีทานข้าวจี่-ข้าวหลาม โดยในช่วงวันเพ็ญเดือน 4 เหนือ เดือน ยี่ ใต้ คือ เดือนมกราคม เป็นเดือนที่ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวแล้วนำไปใส่ยุ้งฉาง ชาวล้านนาไทยนิยมทำบุญทำทานก่อนที่ตัวเองจะบริโภค เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่เทพยดา มีแม่โพสพ เป็นต้น ให้ช่วยคุ้มครองดูแลข้าวเปลือกในยุ้งฉางหลองข้าวของตน มิให้สิ่งอื่นใดมารบกวน ทำให้การกินข้างเปลือกหมดเร็ว การทำบุญทานข้าวจี่เข้าหลาม มีการทำดังนี้ การเตรียมข้าวจี่ ในสมัยโบราณชาวล้านนาไทยนิยมการทำอาหารให้สุกด้วยการจี่ การเผา การปิ้ง การย่าง เป็นส่วนมาก ไม่ใช่การทอดอย่างในปัจจุบัน ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงมีอายุยืนเพราะไม่มีไขมันอุดตันเส้นเลือดอย่างคน สมัยปัจจุบัน
ท้ายนี้ผมยังมีเรื่องอาหารการกินซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมทางล้านนา มาเล่าสู่กันอีกนะครับสวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ถ้าทุกท่านได้เดินทางมาทางภาคเหนือตอนบน ในช่วงพฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธุ์ ตามข้างทางจะมีของรับประทานอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นแท่นขาวๆตั้งอยู่ ที่ป้ายเขียนว่า ข้าวหลามลุง....... ข้าวหลามป้า....... ตลอดข้างทาง ใช่ครับข้าวหลามครับ ปัจจุบันมีการใส่ส่วนผสมและใส้ให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะใส่ถั่วดำ ใส่เผือก ใส่งา แต่ท่านที่ทานนั้นบางท่านจะรู้หรือไม่ว่าข้าวหลาม ทำอย่างไรมีส่วนผสมอะไรบาง ทำไม่ต้องมีช่วงฤดูหนาว เรามาทำความรู้จักกันข้าวหลามกันครับ
ข้าวหลามเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่ง ที่ชาวล้านนานิยมทำรับประทานกันในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้ว...ลมหนาวพัดโชยมา เรียกว่า ลมว่าว...มาเยือน
วิธีทำ
1. ตัดไผ่ข้าวหลามหรือไม้ป้าง ให้ยาวประมาณ 12 นิ้ว ล้างเฉพาะด้านนอกกระบอก ให้สะอาด คว่ำ พักไว้ให้แห้ง 2. ผสมกะทิ น้ำตาล และเกลือ รวมกันแล้วคนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย (แบบชาวบ้าน ใช้ข้าวสารเหนียวกับน้ำเปล่า และเกลือเท่านั้น)3. ล้างข้าวสารให้สะอาด นำข้าวใส่ตระกร้าเพื่อให้สะเด็ดน้ำ ใส่ถั่วดำต้มสุกลงในข้าว คลุกเคล้าให้เข้ากัน4. นำข้าวที่ผสมถั่วดำแล้วใส่ลงในกระบอก 1 กำมือ กระแทกเบาๆ ทำสลับกันต่อไปเรื่อยๆ จนเต็มกระบอก เลือกด้านบนกระบอกไว้ประมาณ 2 นิ้ว สำหรับปิดจุก 5. เทน้ำกะทิที่ผสมแล้ว ใส่ลงไปในกระบอกข้าวทีละน้อย จนกระทั่งน้ำกะทิท่วมข้าว 6. ทำจุก ปิดกระบอกข้าวหลามโดยนำกาบมะพร้าวม้วนเป็นทรงกลมมาปิด ทิ้งไว้ประมาณ 5- 6 ชั่วโมง
(จุก จะทำมาจาก ใบตอง กากมะพร้าว หรือฟางข้าว ก็ได้)7. เผาข้าวหลามกับถ่านไม้ พอกระบอกเหลืองให้หมุนกระบอกข้าวหลาม ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที สังเกตกระบอกมีสีเหลืองทั่ว แสดงว่าข้าวหลามสุก8. ทิ้งไว้ให้อุ่น ปอกเปลือก และเหลาให้เปลือกข้าวหลามบางลง เพื่อให้แกะรับประทานได้ง่าย
การทำข้าวหลาม คนโบราณมีความในแอบแฝงอยู่นะครับ คือการทำข้าวหลามจะต้องอยู่หน้ากองไฟตลอดทำให้เกิดความอบอุ่นแก้หนาวได้ แถมมีอาหารว่าอร่อยๆท่านด้วย และที่สำคัญการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวหรือหมู่คณะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทำให้สังคมชุมชนมีความสมัครสมานสามัคคีเข้าใจกันยิ่งขึ้น และก็มีอีกในหนึ่งสำหรับคนทางภาคเหนือ ที่เกี่ยวข้องกับข้าวหลามนะครับ คือ ประเพณีทานข้าวจี่-ข้าวหลาม โดยในช่วงวันเพ็ญเดือน 4 เหนือ เดือน ยี่ ใต้ คือ เดือนมกราคม เป็นเดือนที่ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวแล้วนำไปใส่ยุ้งฉาง ชาวล้านนาไทยนิยมทำบุญทำทานก่อนที่ตัวเองจะบริโภค เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่เทพยดา มีแม่โพสพ เป็นต้น ให้ช่วยคุ้มครองดูแลข้าวเปลือกในยุ้งฉางหลองข้าวของตน มิให้สิ่งอื่นใดมารบกวน ทำให้การกินข้างเปลือกหมดเร็ว การทำบุญทานข้าวจี่เข้าหลาม มีการทำดังนี้ การเตรียมข้าวจี่ ในสมัยโบราณชาวล้านนาไทยนิยมการทำอาหารให้สุกด้วยการจี่ การเผา การปิ้ง การย่าง เป็นส่วนมาก ไม่ใช่การทอดอย่างในปัจจุบัน ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงมีอายุยืนเพราะไม่มีไขมันอุดตันเส้นเลือดอย่างคน สมัยปัจจุบัน
ท้ายนี้ผมยังมีเรื่องอาหารการกินซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมทางล้านนา มาเล่าสู่กันอีกนะครับสวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
หนาวๆ กลับอาหารอร่อยๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ทางล้านนาจะมีอากาศหนาวเย็น ก็จะมีอาหารบางอย่างเท่านั้นได้เห็นกันและได้ทานกัน ซึ่งเป็นอาหารที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนเก่าก่อนที่ช่างคิดช่างสังเกต อาหารต่างๆซึ่งมี ความเหมาะสมและลงตัวเป็นอย่างยิ่งในฤดูกาลนั้น เราจะมาดูกันครับว่าอาหารในฤดูหนาวนี้น่าจะมีอะไรบาง อย่างแรกเลยที่จะกว่าถึง เป็นอาหารสมัยก่อนต้องอาศัยสภาพอากาศที่หนาวเย็นถึงจะสามารถทำได้ แต่ปัจจุบันมีทั้งเทดโนโลยี่และการดัดแปรงส่วนผสมขึ้นทำให้สามมารถทำได้นอกฤดูกาล แต่ผมว่าก็น่าจะทานช่วงฤดูหนาวเท่านั้น อาหารชนิดนี้ก็คือ แกงกระด้าง บ้างก็เรียกว่า แกงหมูด้าง และระยะหลังยังพบว่า มีผู้เรียก แกงหมูหนาว นิยมใช้ขาหมูมาทำ เพราะเป็นส่วนที่มีเอ็นมาก เมื่อนำมาแกงจะทำให้แกงข้น เกาะตัวหรือกระด้างได้ง่าย
แกงกระด้างมี 2 สูตร คือ แกงกระด้างแบบเชียงใหม่ และ แกงกระด้างแบบเชียงราย ข้อแตกต่างของแกงสองสูตรนี้อยู่ที่ แกงกระด้างเชียงใหม่จะมีสีขาว ส่วนแกงกระด้างเชียงราย จะเป็นสีออกส้ม ๆ จากพริกแห้ง นั้นเอง บางท่านคงสงสัยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ว่า แกงกระด้างทำไมถึงได้เป็นอาหารที่เฉพาะฤดูหนาว ก็สมัยก่อนยังไม่มีตู้เย็นนะครับ แกงกระด้างต้องใช้ความเย็นในฤดูหนาวในการจับตัวให้เป็นวุ้น แต่ในปัจจุบันนี้อย่างที่บอกแล้วว่ามีการดัดแปรงสูตรนิดหน่วยโดยนิยมใช้ผงวุ้นเย็นเป็นตัวเร่งให้แกงกระด้าง แข็งและจับตัวกันได้ดียิ่งขึ้น จึงสามารถหารับประทานได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี แต่ความคิดเห็นของผมว่า สู่แบบดั่งเดิมไม่ได้ครับ อีกประการหนึ่ง แกงกระด้าง น่าจะทานฤดูหนาวก็เพราะว่า แกงกระด้าง ให้พลังงาน ไขมัน โปรตีนสูงครับ ซึ่งจะทำให้ร่ายกายเรามีพลังงานความร้อนไว้สูงกับความหนาวเย็น ข้อนี้จะเห็นได้ชัดครับว่าเป็นภูมิปัญญาอย่างแท้จริงของคนล้านนา
อาหารอีกอย่างที่จะได้เห็นกันเฉพาะฤดูหนาว และมีช่วงสั้นเท่านั้นก็คือ ข้าวคลุกงา หรือ ข้าวหนุกงา (หนุก แปลว่า คลุกหรือนวด)มีการเรียกชื่อที่แตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย เช่น บางแห่งเรียกว่า “ข้าวงา” “ข้าวหนึกงา”หรือบางพื้นที่ก็เรียกว่า“ข้าวแดกงา” แต่กระบวนการทำและวัสดุที่ใช้ก็ไม่ต่างกันเลย ยิ่งสมัยนี้มีการประยุกต์ได้หลาย ๆ แบบ หาซื้อได้ตานตลาดทางภาคเหนือทั่วไป งาที่เอามาใช้หนุกงา หรือคลุก จะใช้ “งาขี้ม้อน” ซึ่งมีลักษณะจะเป็นงาเม็ดกลมเล็กยิบๆ เหมือนลูกปัดหรือทราย ก่อนที่จะนำงามาต๋ำก็ต้องทำการ “ตาว” เสียก่อน การตาวก็คือการคัดเอาสิ่งเจือปนที่ไม่ดีออก เช่น เศษหิน ดิน ทราย โดยเอาไปแช่น้ำ เศษต่าง ๆ จะเหลือเฉพาะงาขี้ม้อนลอยอยู่ หลังจากนั้นก็นำมาตากให้แห้งแล้วเอามาคั่วไฟให้หอมๆ นำมาต๋ำใส่เกลือเล็กน้อยคลุกเคล้ากับข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ ข้าวเหนียวนึ่งต้องเป็นข้าวออกใหม่ที่บ้านเราเรียกว่า“ข้าวใหม่” ถึงจะ“ลำแต้ๆ” คนล้านนาโดยเฉพาะเด็กๆจะชอบกันมากเพราะทั้งมีคุณค่าและอร่อยเค็มๆมันๆ
คุณค่าทางอาหารของ “ข้าวหนุกงา” โดยเฉพาะทางสรรพคุณของ “งาขี้ม้อน” มีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง กรดนี้สามารถช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็ง จะเห็นได้ว่านี้เป็นภูมิปัญญาคนเก่าๆที่คิดไว้ ซึ่งช่วงฤดูหนาวเรามักทานอาหารที่มีไขมันเพื่อเพิ่มพลังงานแต่อาจจะ มากเกินไปอันจะทำให้มีการสะสมของโคเลสเตอรอลสูงขึ้น “ข้าวหนุกงา” ก็จะมาเป็นตัวควบคุมให้เราครับ
ท้ายนี้ผมยังมีเรื่องอาหารการกินซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนดั้งเดิมทางล้านนาอีกมาครับไว้ครั้งนี้ เราจะมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ ครั้งขอจบเท่านี้ แต่อย่างลืม “อาหารบ้านเฮา มันลำแต้ๆ”
สวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง
แกงกระด้างมี 2 สูตร คือ แกงกระด้างแบบเชียงใหม่ และ แกงกระด้างแบบเชียงราย ข้อแตกต่างของแกงสองสูตรนี้อยู่ที่ แกงกระด้างเชียงใหม่จะมีสีขาว ส่วนแกงกระด้างเชียงราย จะเป็นสีออกส้ม ๆ จากพริกแห้ง นั้นเอง บางท่านคงสงสัยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ว่า แกงกระด้างทำไมถึงได้เป็นอาหารที่เฉพาะฤดูหนาว ก็สมัยก่อนยังไม่มีตู้เย็นนะครับ แกงกระด้างต้องใช้ความเย็นในฤดูหนาวในการจับตัวให้เป็นวุ้น แต่ในปัจจุบันนี้อย่างที่บอกแล้วว่ามีการดัดแปรงสูตรนิดหน่วยโดยนิยมใช้ผงวุ้นเย็นเป็นตัวเร่งให้แกงกระด้าง แข็งและจับตัวกันได้ดียิ่งขึ้น จึงสามารถหารับประทานได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี แต่ความคิดเห็นของผมว่า สู่แบบดั่งเดิมไม่ได้ครับ อีกประการหนึ่ง แกงกระด้าง น่าจะทานฤดูหนาวก็เพราะว่า แกงกระด้าง ให้พลังงาน ไขมัน โปรตีนสูงครับ ซึ่งจะทำให้ร่ายกายเรามีพลังงานความร้อนไว้สูงกับความหนาวเย็น ข้อนี้จะเห็นได้ชัดครับว่าเป็นภูมิปัญญาอย่างแท้จริงของคนล้านนา
อาหารอีกอย่างที่จะได้เห็นกันเฉพาะฤดูหนาว และมีช่วงสั้นเท่านั้นก็คือ ข้าวคลุกงา หรือ ข้าวหนุกงา (หนุก แปลว่า คลุกหรือนวด)มีการเรียกชื่อที่แตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย เช่น บางแห่งเรียกว่า “ข้าวงา” “ข้าวหนึกงา”หรือบางพื้นที่ก็เรียกว่า“ข้าวแดกงา” แต่กระบวนการทำและวัสดุที่ใช้ก็ไม่ต่างกันเลย ยิ่งสมัยนี้มีการประยุกต์ได้หลาย ๆ แบบ หาซื้อได้ตานตลาดทางภาคเหนือทั่วไป งาที่เอามาใช้หนุกงา หรือคลุก จะใช้ “งาขี้ม้อน” ซึ่งมีลักษณะจะเป็นงาเม็ดกลมเล็กยิบๆ เหมือนลูกปัดหรือทราย ก่อนที่จะนำงามาต๋ำก็ต้องทำการ “ตาว” เสียก่อน การตาวก็คือการคัดเอาสิ่งเจือปนที่ไม่ดีออก เช่น เศษหิน ดิน ทราย โดยเอาไปแช่น้ำ เศษต่าง ๆ จะเหลือเฉพาะงาขี้ม้อนลอยอยู่ หลังจากนั้นก็นำมาตากให้แห้งแล้วเอามาคั่วไฟให้หอมๆ นำมาต๋ำใส่เกลือเล็กน้อยคลุกเคล้ากับข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ ข้าวเหนียวนึ่งต้องเป็นข้าวออกใหม่ที่บ้านเราเรียกว่า“ข้าวใหม่” ถึงจะ“ลำแต้ๆ” คนล้านนาโดยเฉพาะเด็กๆจะชอบกันมากเพราะทั้งมีคุณค่าและอร่อยเค็มๆมันๆ
คุณค่าทางอาหารของ “ข้าวหนุกงา” โดยเฉพาะทางสรรพคุณของ “งาขี้ม้อน” มีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง กรดนี้สามารถช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็ง จะเห็นได้ว่านี้เป็นภูมิปัญญาคนเก่าๆที่คิดไว้ ซึ่งช่วงฤดูหนาวเรามักทานอาหารที่มีไขมันเพื่อเพิ่มพลังงานแต่อาจจะ มากเกินไปอันจะทำให้มีการสะสมของโคเลสเตอรอลสูงขึ้น “ข้าวหนุกงา” ก็จะมาเป็นตัวควบคุมให้เราครับ
ท้ายนี้ผมยังมีเรื่องอาหารการกินซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนดั้งเดิมทางล้านนาอีกมาครับไว้ครั้งนี้ เราจะมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ ครั้งขอจบเท่านี้ แต่อย่างลืม “อาหารบ้านเฮา มันลำแต้ๆ”
สวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553
ปัญหาด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
โดย นางสาวหัทยา ตันป่าเหียง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ปัญหาเด็กและเยาวชนขาดองค์ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
๑. ปัญหาด้านศาสนา เด็กและเยาวชนไม่สามารถนำองค์ความรู้และหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา
มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันและแก้ไขปัญหาได้ สาเหตุอาจเกิดจากไม่ใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญ การห่างวัด ห่างศาสนา
หรือแม้ว่าเข้าวัดฟังธรรมก็ฟังบทสวดไม่เข้าใจเพราะเป็นภาษาบาลี หรือความเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม สำหรับการศึกษาในสถานศึกษาหลักสูตรการศึกษาด้านศาสนา ยังเน้นในเรื่องของทฤษฏีไม่เน้นเรื่องของการปฏิบัติ หรือการใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างแท้จริงที่ก่อให้เกิดปัญญา ความรู้ ความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณ หรือปัญหาด้านครอบครัวที่ขาดการบ่มเพาะเด็ก ส่งเสริม หรือเป็นแบบอย่างที่ดีในการนำหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติ ปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ปัญหาของสื่อที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ ที่ทำให้เด็กและเยาวชนซึมซับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ
๒. ปัญหาด้านศิลปะ เด็กและเยาวชนขาดองค์ความรู้ด้านศิลปะ และเข้าใจถึงคุณค่าซาบซึ้งในความสุนทรีย์ของศิลปะ ขาดการนำศิลปะมากล่อมเกลาเด็กและเยาวชนให้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีคุณธรรม จริยธรรมและเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ขาดการส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ ทำกิจกรรม หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงออก แข่งขัน จัดแหล่งเรียนรู้ สนับสนุนทุนการศึกษาให้เด็กเยาวชนด้านศิลปะให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้ เกิดทักษะ ได้แสดงออกเกิดความภาคภูมิใจในตนเองและเกิด
จิตวิญญาณเห็นคุณค่าด้านศิลปะอย่างแท้จริง และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
๓. ด้านวัฒนธรรมเด็กและเยาวชนขาดองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม อาทิ
-วัฒนธรรมด้านภาษา ปัจจุบันเด็กและเยาชนไทยอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงภาษาของวัยรุ่น ศัพท์แสลงหรือคำเฉพาะกลุ่มต่าง ๆ หากนำไปใช้เพื่อสื่อสารกันเองภายในกลุ่มเล็ก ๆ คงไม่เสียหายมากนักแต่หากอยู่ในที่สาธารณะหรือใช้สื่อสารอย่างเป็นทางการ การพูดคุยกับผู้ใหญ่ หรือในการเรียนนั้นก็ควรจะต้องใช้ภาษาที่ถูกต้องทั้งในการพูด อ่านและเขียน อย่างไรก็ตามการจะให้เด็กใช้ภาษาไทยอย่างสุภาพและถูกต้องนั้น ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครู อาจารย์ และบุคคลสาธารณะต่าง ๆ ควรสอนและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กด้วย
ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพูด เขียนภาษาไทยของวัยรุ่นคือสื่อมวลชน โดยเฉพาะ โทรทัศน์ วิทยุ และอินเทอร์เน็ท วัยรุ่นมักจะเลียนแบบออกเสียงการพูดของดารา ศิลปินนักร้อง พิธีกร ดีเจ มักพูดไทยสำเนียงฝรั่ง ใช้ภาษาพูดปนกับภาษาเขียน หรือพูดไทยคำ อังกฤษคำ หรือการแชท ในอินเทอร์เน็ท
-วัฒนธรรมการกิน ปัจจุบันท่ามกลางกระแสสังคมบริโภคที่โลกาภิวัตน์ได้นำมาซึ่งวัฒนธรรม “กิน ดื่ม ช็อป” ปัญหาเด็กและเยาวชนนิยมดื่มน้ำอัดลม อาหารฟาสฟู๊ดหรืออาหารจานด่วน แมคโดนัล พิซซ่า มิสเตอร์โดนัทKFC ขนมขบเคี้ยว ฯลฯ ทำให้เด็กไทยกลายเป็นเด็กอ้วน ขี้โรค สาเหตุจากการโฆษณา ที่ทั้งพ่อ แม่และเด็กไม่ทันตั้งตัวส่งผลต่อวิถีวัฒนธรรมบริโภคและการอบรมเลี้ยงดูเด็กยุคใหม่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของเด็กอย่างชัดเจน
อีกปัญหาหนึ่งคือวัยรุ่นนิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ปัญหาการขายเหล้าบุหรี่ให้นักเรียน นักศึกษาของร้านค้า และสถานบันเทิง ร้านอาหาร สวนสาธารณะ หอพัก ที่เป็นแหล่งให้วัยรุ่นมั่วสุมดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือการเกี่ยวข้องกับสารเสพติด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ในมิติการบริโภค พบว่า ปัจจุบันเด็ก
และเยาวชนไทยถูกดึงดูดจากโฆษณาให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย นิยมแฟชั่นราคาแพงหรือของมียี่ห้อ อาทิ โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา น้ำหอม กระเป๋าถือ เสี่ยงต่อการที่เด็กและเยาวชนจะมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
-วัฒนธรรมการเคารพ หรือมารยาทไทย ปัจจุบันเด็กและเยาวชนไม่น้อยที่กล่าวคำว่าขอบคุณหรือขอโทษไม่เป็น หรือการยกมือไหว้หรือกล่าวสวัสดีผู้ใหญ่ หรือการพูดไม่มีหางเสียง พูดไม่สุภาพ หยาบคาย และแสดงกริยาที่ก้าวร้าว ด่าทอ การไม่เคารพ นับถือพ่อแม่ ครู อาจารย์ ปู่ย่า ตา ยาย หรือญาติ พี่น้อง หรือแม้แต่เรื่องของมารยาทไทยต่าง ๆ เด็กและเยาวชนขาด
องค์ความรู้เรื่องของมารยาทไทยและขาดความตระหนักในการนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ปัญหาอาจเกิดจากการขาดการ บ่มเพาะ การเลียนแบบบุคคลสาธารณะ หรือ สื่อต่าง ๆ หรือคนในครอบครัว
-วัฒนธรรมการแต่งกาย ปัจจุบันวัยรุ่นไทยแต่งกายไม่เหมาะสม ตามกระแสแฟชั่น เลียนแบบดารา นักร้อง
ใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น กระโปรง กางเกงเอวต่ำ ชุดนักเรียน นักศึกษาที่ไม่เหมาะสม เสื้อรัดติ้ว กระโปรงคืบผ่าหน้า ผ่าหลัง การไม่รู้จักกาลเทศะแต่งกายที่ไม่เหมาะสมกับสถานที่
-การมีค่านิยมที่ไม่เหมาะสม เช่นการสักตามร่างกาย การเจาะอวัยวะตามร่างกายจากปัญหาดังกล่าวข้างต้น
ทุกภาคส่วนต้องหันหน้ามาร่วมกันในการเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขปัญหา ทั้งบ้าน วัด โรงเรียน หน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแม้แต่การบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ปัญหาเด็กและเยาวชนขาดองค์ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
๑. ปัญหาด้านศาสนา เด็กและเยาวชนไม่สามารถนำองค์ความรู้และหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา
มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันและแก้ไขปัญหาได้ สาเหตุอาจเกิดจากไม่ใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญ การห่างวัด ห่างศาสนา
หรือแม้ว่าเข้าวัดฟังธรรมก็ฟังบทสวดไม่เข้าใจเพราะเป็นภาษาบาลี หรือความเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม สำหรับการศึกษาในสถานศึกษาหลักสูตรการศึกษาด้านศาสนา ยังเน้นในเรื่องของทฤษฏีไม่เน้นเรื่องของการปฏิบัติ หรือการใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างแท้จริงที่ก่อให้เกิดปัญญา ความรู้ ความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณ หรือปัญหาด้านครอบครัวที่ขาดการบ่มเพาะเด็ก ส่งเสริม หรือเป็นแบบอย่างที่ดีในการนำหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติ ปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ปัญหาของสื่อที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ ที่ทำให้เด็กและเยาวชนซึมซับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ
๒. ปัญหาด้านศิลปะ เด็กและเยาวชนขาดองค์ความรู้ด้านศิลปะ และเข้าใจถึงคุณค่าซาบซึ้งในความสุนทรีย์ของศิลปะ ขาดการนำศิลปะมากล่อมเกลาเด็กและเยาวชนให้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีคุณธรรม จริยธรรมและเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ขาดการส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ ทำกิจกรรม หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงออก แข่งขัน จัดแหล่งเรียนรู้ สนับสนุนทุนการศึกษาให้เด็กเยาวชนด้านศิลปะให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้ เกิดทักษะ ได้แสดงออกเกิดความภาคภูมิใจในตนเองและเกิด
จิตวิญญาณเห็นคุณค่าด้านศิลปะอย่างแท้จริง และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
๓. ด้านวัฒนธรรมเด็กและเยาวชนขาดองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม อาทิ
-วัฒนธรรมด้านภาษา ปัจจุบันเด็กและเยาชนไทยอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงภาษาของวัยรุ่น ศัพท์แสลงหรือคำเฉพาะกลุ่มต่าง ๆ หากนำไปใช้เพื่อสื่อสารกันเองภายในกลุ่มเล็ก ๆ คงไม่เสียหายมากนักแต่หากอยู่ในที่สาธารณะหรือใช้สื่อสารอย่างเป็นทางการ การพูดคุยกับผู้ใหญ่ หรือในการเรียนนั้นก็ควรจะต้องใช้ภาษาที่ถูกต้องทั้งในการพูด อ่านและเขียน อย่างไรก็ตามการจะให้เด็กใช้ภาษาไทยอย่างสุภาพและถูกต้องนั้น ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครู อาจารย์ และบุคคลสาธารณะต่าง ๆ ควรสอนและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กด้วย
ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพูด เขียนภาษาไทยของวัยรุ่นคือสื่อมวลชน โดยเฉพาะ โทรทัศน์ วิทยุ และอินเทอร์เน็ท วัยรุ่นมักจะเลียนแบบออกเสียงการพูดของดารา ศิลปินนักร้อง พิธีกร ดีเจ มักพูดไทยสำเนียงฝรั่ง ใช้ภาษาพูดปนกับภาษาเขียน หรือพูดไทยคำ อังกฤษคำ หรือการแชท ในอินเทอร์เน็ท
-วัฒนธรรมการกิน ปัจจุบันท่ามกลางกระแสสังคมบริโภคที่โลกาภิวัตน์ได้นำมาซึ่งวัฒนธรรม “กิน ดื่ม ช็อป” ปัญหาเด็กและเยาวชนนิยมดื่มน้ำอัดลม อาหารฟาสฟู๊ดหรืออาหารจานด่วน แมคโดนัล พิซซ่า มิสเตอร์โดนัทKFC ขนมขบเคี้ยว ฯลฯ ทำให้เด็กไทยกลายเป็นเด็กอ้วน ขี้โรค สาเหตุจากการโฆษณา ที่ทั้งพ่อ แม่และเด็กไม่ทันตั้งตัวส่งผลต่อวิถีวัฒนธรรมบริโภคและการอบรมเลี้ยงดูเด็กยุคใหม่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของเด็กอย่างชัดเจน
อีกปัญหาหนึ่งคือวัยรุ่นนิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ปัญหาการขายเหล้าบุหรี่ให้นักเรียน นักศึกษาของร้านค้า และสถานบันเทิง ร้านอาหาร สวนสาธารณะ หอพัก ที่เป็นแหล่งให้วัยรุ่นมั่วสุมดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือการเกี่ยวข้องกับสารเสพติด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ในมิติการบริโภค พบว่า ปัจจุบันเด็ก
และเยาวชนไทยถูกดึงดูดจากโฆษณาให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย นิยมแฟชั่นราคาแพงหรือของมียี่ห้อ อาทิ โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา น้ำหอม กระเป๋าถือ เสี่ยงต่อการที่เด็กและเยาวชนจะมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
-วัฒนธรรมการเคารพ หรือมารยาทไทย ปัจจุบันเด็กและเยาวชนไม่น้อยที่กล่าวคำว่าขอบคุณหรือขอโทษไม่เป็น หรือการยกมือไหว้หรือกล่าวสวัสดีผู้ใหญ่ หรือการพูดไม่มีหางเสียง พูดไม่สุภาพ หยาบคาย และแสดงกริยาที่ก้าวร้าว ด่าทอ การไม่เคารพ นับถือพ่อแม่ ครู อาจารย์ ปู่ย่า ตา ยาย หรือญาติ พี่น้อง หรือแม้แต่เรื่องของมารยาทไทยต่าง ๆ เด็กและเยาวชนขาด
องค์ความรู้เรื่องของมารยาทไทยและขาดความตระหนักในการนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ปัญหาอาจเกิดจากการขาดการ บ่มเพาะ การเลียนแบบบุคคลสาธารณะ หรือ สื่อต่าง ๆ หรือคนในครอบครัว
-วัฒนธรรมการแต่งกาย ปัจจุบันวัยรุ่นไทยแต่งกายไม่เหมาะสม ตามกระแสแฟชั่น เลียนแบบดารา นักร้อง
ใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น กระโปรง กางเกงเอวต่ำ ชุดนักเรียน นักศึกษาที่ไม่เหมาะสม เสื้อรัดติ้ว กระโปรงคืบผ่าหน้า ผ่าหลัง การไม่รู้จักกาลเทศะแต่งกายที่ไม่เหมาะสมกับสถานที่
-การมีค่านิยมที่ไม่เหมาะสม เช่นการสักตามร่างกาย การเจาะอวัยวะตามร่างกายจากปัญหาดังกล่าวข้างต้น
ทุกภาคส่วนต้องหันหน้ามาร่วมกันในการเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขปัญหา ทั้งบ้าน วัด โรงเรียน หน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแม้แต่การบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การเฝ้าระวังปัญหาเด็กและเยาวชนท่ามกลางกระแสแห่งโลกาภิวัตน์
โดย นางสาวหัทยา ตันป่าเหียง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้สังคมทั่วโลกปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีผลให้คนในสังคม ทุกวัย ต่างตกอยู่ท่ามกลางกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ และถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามาจนยากจะต้านทานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยาวชน เป็นกลุ่มที่ถูกวัฒนธรรมดังกล่าวกลืนกินและหล่อหลอม จนกระทั่งเกิดปัญหารุนแรงขึ้นในสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมทั้งตัวของเยาวชนเองก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะประสบปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น
จากผลการวิจัยเรื่อง “เด็กไทยในมิติวัฒนธรรม” ของ ดร. อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ สรุปถึงพฤติกรรมเด็กไทยในมิติต่าง ๆ ๕ เรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ
๑. ในมิติศาสนาและครอบครัว พบว่า สถานการณ์ครอบครัวไทยในปัจจุบันอ่อนแอ การจดทะเบียนสมรส มีน้อยลงแต่อัตราการหย่าร้างกลับสูงขึ้น และครอบครัวต้องดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาคุณภาพชีวิตทำให้พ่อแม่ต้องห่างเหินกับลูก และวัยรุ่นโดยเฉลี่ยใช้เวลากับครอบครัวน้อยลง และยังห่างเหินจากสถาบันศาสนามากขึ้นด้วย จากการสำรวจพบว่าวัยรุ่นจำนวน ไม่น้อยไม่เคยไปวัดฟังเทศน์เลยในรอบ ๑ เดือน และยังไม่ค่อยได้ทำบุญตักบาตร แต่กลับเลือกที่จะไปใช้ชีวิตตามห้างสรรพสินค้า ดูหนัง คุยโทรศัพท์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ท เพื่อพูดคุยหรือเพื่อความบันเทิงมากกว่า
๒. ในมิติของการบริโภค พบว่า ปัจจุบันเด็กและเยาวชนไทยกำลังเผชิญกับกระแส “วัฒนธรรมกิน ดื่ม ช้อป”
อันเป็นตัวเร่งให้เกิดค่านิยมบริโภคอย่างมหาศาล เด็กวัยรุ่นถูกดังดูดจากโฆษณาให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย นิยมแฟชั่นราคาแพงหรือของมียี่ห้อ อาทิ โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา น้ำหอม กระเป๋าถือ รวมถึงการนิยมบริโภคของมึนเมาต่าง ๆ ก็มีอัตราที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุไปจนถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ
๓. ในมิติด้านสื่อและการแสดงออกทางเพศ พบว่านับวันจะรุ่นแรงมากขึ้น ปัจจุบันวัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุโดยเฉลี่ยจะน้อยลงเป็นลำดับ ขณะเดียวกันยังมีค่านิยมการมีคู่นอนมากกว่าหนึ่งมากขึ้นและยังใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเซ็กส์ครั้งแรกน้อยที่สุดในโลก อีกทั้งปัญหาอาชญากรรมทางเพศของวัยรุ่นดูจะสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นการถูกข่มขืน การใช้พื้นที่สาธารณะในการพลอดรักมีมากขึ้น
๔. ในมิติการเสี่ยงโชค พบว่าวัยรุ่นอยู่ในวงจรการพนันมากขึ้น เช่น การพนันฟุตบอล ซึ่งสถานการณ์การพนันในหมู่วัยรุ่นมีแนวโน้มว่าจะขยายขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากค่านิยมความเชื่อว่าเป็นการลงทุนต่ำ แต่ให้ผลกำไรกลับคืนทวีคูณหากโชคดี ถือเป็นช่องทาง “รวยลัด”
๕. ในมิติแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม พบว่าเด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อแห่งความขัดแย้งทางวัฒนธรรม เช่น ปัญหาความแตกต่างและรอยร้าวทางวัฒนธรรมใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ การยกพวกตีกันของเด็กอาชีวะ อันเป็นการต่อต้านสังคมของเยาวชนอีกแบบหนึ่ง ปัญหาเด็กต่างชาติพันธุ์จำนวนมากที่ขาดโอกาสเข้าถึงการศึกษาและถูกละเมิด ดูถูกหรือ ข่มแหงทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนชาวเขา พม่า หรือเด็กตามชายตะเข็บชายแดน อันเป็นผลมาจากการท่องเที่ยวที่เน้น “การขายความต่างทางวัฒนธรรม” หรือใช้วัฒนธรรมเป็นสินค้าจนละเลยความเป็นมนุษย์
นอกจากนี้ ดร. อมรวิชช์ มองว่า ปัญหาพฤติกรรมของเยาวชนที่ปรกกฎอยู่เหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในสังคมมีพื้นที่เสี่ยงหรือแหล่งอบายมุขมากกว่าพื้นที่ดีและสร้างสรรค์ สำหรับเยาวชนส่วนใหญ่แล้ว พื้นที่เสี่ยงที่ใกล้ตัวมากที่สุดน่าจะเป็น “ร้านเกม” ที่ปัจจุบันมีอยู่ทุกหัวระแหงมากมาย เยาวชนบางคนจึงใช้เวลาอยู่ในร้านเกมวันละกว่า ๑๐ ชั่วโมง บางรายไม่ยอมเรียนหนังสือ เสียทั้งการเรียนและเงินทอง ยิ่งไปกว่านั้นผลของการเล่นเกมทำให้เยาวชนมีสังคมแคบลง แยกตัว ไม่มีเพื่อน เกมที่รุนแรงบ่มเพาะความก้าวร้าวและเคยชินต่อการใช้ความรุนแรง ชอบเถียงและใช้ความรุนแรงและมีความคิดว่าการใช้ความรุนแรงคือความถูกต้องชอบธรรมและเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหา ขณะเดียวกันระบบการเล่นของเกมยังได้ปลูกฝังลักษณะนิสัยของการแข่งขันและการบริโภคอย่างไม่รู้จักพอให้แก่เยาวชน ทำให้กลายเป็นคนที่ยึดตนเองเป็นที่ตั้ง และแปรผันจนกลายเป็นความเห็นแก่ตัวในที่สุด
ไม่เพียงแต่เกมออนไลน์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่ก่อให้เกิดพื้นที่เสี่ยงขึ้นใกล้ตัวเยาวชนและเป็นต้นตอแห่งนิสัยชอบใช้ความรุนแรง โทรทัศน์เป็นสื่ออีกชนิดหนึ่งที่สร้างพื้นที่เสี่ยงจากรายการที่ออกอากาศทั้งรายการประเภทละคร การ์ตูน ภาพยนตร์ ข่าว และโฆษณา ล้วนมีภาพของการใช้ความรุนแรงที่เยาวชนสามารถซึมซับมาเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมตนเองได้โดยง่าย
ในเวลาเดียวกัน การที่เยาวชนให้เวลาแก่เกมและโทรทัศน์รวมทั้งโทรศัพท์มากเกินไปนั้น ทำให้มีเวลา อ่านหนังสือน้อยลง ในปี ๒๕๔๘-๒๕๔๙ พบว่าเด็กและเยาวชนไทย ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละไม่ถึง ๒ ชั่วโมง และในปี ๒๕๕๐ ก็ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยมากขึ้นอีกวันละประมาณ ๒๐ นาที เท่านั้น
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สื่อสารสนเทศในปัจจุบันเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการแสดงออกของคนในสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ในขณะที่ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคสื่อของเด็กและเยาวชนระบุว่าสื่อที่เป็นอันตรายนำมาซึ่งปัญหาความรุนแรงมากเป็นอันดับต้น ๆ คือ สื่ออินเทอร์เน็ท เพราะมีลักษณะเป็นพื้นที่เปิดมากกว่าเนื้อหาที่ตายตัว ต่างกับสื่ออื่น ๆ ทำให้ยากต่อการดูแล เยาวชนจึงเข้าถึงสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ทเป็นอันดับ ๑ รองลงมาเป็นวีซีดีและหนังสือ ในอัตราส่วน ๔ ต่อ ๒ ต่อ ๑ ตามลำดับ และเมื่อเจาะลึกลงไปถึงข้อมูลการใช้ อินเทอร์เน็ท ในปี ๒๕๕๐ ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ทประมาณ ๑๓.๑๕ ล้านคน ในจำนวนนี้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งหรือราว ๖.๕ ล้านคน เป็นเด็กและเยาวชนต่ำกว่า ๒๕ ปี ขณะที่สถานการณ์เว็บไซด์ที่มีเนื้อหายั่วยุเรื่องเพศของไทย ก็มีจำนวนมากราว ๕๐๐,๐๐๐ เว็บไซด์ และสิ่งที่ระบาดเร็วที่สุดคือคลิปวีดีโอ ที่แสดงภาพนุ่งน้อยห่มน้อยของเด็กสาว ซึ่งการเผยแพร่คลิปในลักษณะนี้จะกระทำอย่างโจ่งแจ้ง มีผู้เป็นสปอนเซอร์เผยแพร่คลิปโป๊เปลือย อย่างน้อย ๒๕๐ เว็บไซด์ ผลการบริโภคสื่อที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ ส่งผลให้แนวโน้มของเด็กที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ทเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากอัตรา ๘.๙% ในปี ๒๕๔๙ เป็น ๑๑.๕% ในปี ๒๕๕๐ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง ๑๕ % ในปี ๒๕๕๑
จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยในปัจจุบันได้รับผลกระทบจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สื่อสารสนเทศ รวมทั้งสื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันนำมาซึ่งความเสียหายนานัปการและกระทบต่อชีวิตและความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก
ข้อมูล จากหนังสือวัคซีนสื่อสร้างสรรค์
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้สังคมทั่วโลกปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีผลให้คนในสังคม ทุกวัย ต่างตกอยู่ท่ามกลางกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ และถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามาจนยากจะต้านทานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยาวชน เป็นกลุ่มที่ถูกวัฒนธรรมดังกล่าวกลืนกินและหล่อหลอม จนกระทั่งเกิดปัญหารุนแรงขึ้นในสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมทั้งตัวของเยาวชนเองก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะประสบปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น
จากผลการวิจัยเรื่อง “เด็กไทยในมิติวัฒนธรรม” ของ ดร. อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ สรุปถึงพฤติกรรมเด็กไทยในมิติต่าง ๆ ๕ เรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ
๑. ในมิติศาสนาและครอบครัว พบว่า สถานการณ์ครอบครัวไทยในปัจจุบันอ่อนแอ การจดทะเบียนสมรส มีน้อยลงแต่อัตราการหย่าร้างกลับสูงขึ้น และครอบครัวต้องดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาคุณภาพชีวิตทำให้พ่อแม่ต้องห่างเหินกับลูก และวัยรุ่นโดยเฉลี่ยใช้เวลากับครอบครัวน้อยลง และยังห่างเหินจากสถาบันศาสนามากขึ้นด้วย จากการสำรวจพบว่าวัยรุ่นจำนวน ไม่น้อยไม่เคยไปวัดฟังเทศน์เลยในรอบ ๑ เดือน และยังไม่ค่อยได้ทำบุญตักบาตร แต่กลับเลือกที่จะไปใช้ชีวิตตามห้างสรรพสินค้า ดูหนัง คุยโทรศัพท์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ท เพื่อพูดคุยหรือเพื่อความบันเทิงมากกว่า
๒. ในมิติของการบริโภค พบว่า ปัจจุบันเด็กและเยาวชนไทยกำลังเผชิญกับกระแส “วัฒนธรรมกิน ดื่ม ช้อป”
อันเป็นตัวเร่งให้เกิดค่านิยมบริโภคอย่างมหาศาล เด็กวัยรุ่นถูกดังดูดจากโฆษณาให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย นิยมแฟชั่นราคาแพงหรือของมียี่ห้อ อาทิ โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา น้ำหอม กระเป๋าถือ รวมถึงการนิยมบริโภคของมึนเมาต่าง ๆ ก็มีอัตราที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุไปจนถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ
๓. ในมิติด้านสื่อและการแสดงออกทางเพศ พบว่านับวันจะรุ่นแรงมากขึ้น ปัจจุบันวัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุโดยเฉลี่ยจะน้อยลงเป็นลำดับ ขณะเดียวกันยังมีค่านิยมการมีคู่นอนมากกว่าหนึ่งมากขึ้นและยังใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเซ็กส์ครั้งแรกน้อยที่สุดในโลก อีกทั้งปัญหาอาชญากรรมทางเพศของวัยรุ่นดูจะสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นการถูกข่มขืน การใช้พื้นที่สาธารณะในการพลอดรักมีมากขึ้น
๔. ในมิติการเสี่ยงโชค พบว่าวัยรุ่นอยู่ในวงจรการพนันมากขึ้น เช่น การพนันฟุตบอล ซึ่งสถานการณ์การพนันในหมู่วัยรุ่นมีแนวโน้มว่าจะขยายขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากค่านิยมความเชื่อว่าเป็นการลงทุนต่ำ แต่ให้ผลกำไรกลับคืนทวีคูณหากโชคดี ถือเป็นช่องทาง “รวยลัด”
๕. ในมิติแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม พบว่าเด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อแห่งความขัดแย้งทางวัฒนธรรม เช่น ปัญหาความแตกต่างและรอยร้าวทางวัฒนธรรมใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ การยกพวกตีกันของเด็กอาชีวะ อันเป็นการต่อต้านสังคมของเยาวชนอีกแบบหนึ่ง ปัญหาเด็กต่างชาติพันธุ์จำนวนมากที่ขาดโอกาสเข้าถึงการศึกษาและถูกละเมิด ดูถูกหรือ ข่มแหงทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนชาวเขา พม่า หรือเด็กตามชายตะเข็บชายแดน อันเป็นผลมาจากการท่องเที่ยวที่เน้น “การขายความต่างทางวัฒนธรรม” หรือใช้วัฒนธรรมเป็นสินค้าจนละเลยความเป็นมนุษย์
นอกจากนี้ ดร. อมรวิชช์ มองว่า ปัญหาพฤติกรรมของเยาวชนที่ปรกกฎอยู่เหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในสังคมมีพื้นที่เสี่ยงหรือแหล่งอบายมุขมากกว่าพื้นที่ดีและสร้างสรรค์ สำหรับเยาวชนส่วนใหญ่แล้ว พื้นที่เสี่ยงที่ใกล้ตัวมากที่สุดน่าจะเป็น “ร้านเกม” ที่ปัจจุบันมีอยู่ทุกหัวระแหงมากมาย เยาวชนบางคนจึงใช้เวลาอยู่ในร้านเกมวันละกว่า ๑๐ ชั่วโมง บางรายไม่ยอมเรียนหนังสือ เสียทั้งการเรียนและเงินทอง ยิ่งไปกว่านั้นผลของการเล่นเกมทำให้เยาวชนมีสังคมแคบลง แยกตัว ไม่มีเพื่อน เกมที่รุนแรงบ่มเพาะความก้าวร้าวและเคยชินต่อการใช้ความรุนแรง ชอบเถียงและใช้ความรุนแรงและมีความคิดว่าการใช้ความรุนแรงคือความถูกต้องชอบธรรมและเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหา ขณะเดียวกันระบบการเล่นของเกมยังได้ปลูกฝังลักษณะนิสัยของการแข่งขันและการบริโภคอย่างไม่รู้จักพอให้แก่เยาวชน ทำให้กลายเป็นคนที่ยึดตนเองเป็นที่ตั้ง และแปรผันจนกลายเป็นความเห็นแก่ตัวในที่สุด
ไม่เพียงแต่เกมออนไลน์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่ก่อให้เกิดพื้นที่เสี่ยงขึ้นใกล้ตัวเยาวชนและเป็นต้นตอแห่งนิสัยชอบใช้ความรุนแรง โทรทัศน์เป็นสื่ออีกชนิดหนึ่งที่สร้างพื้นที่เสี่ยงจากรายการที่ออกอากาศทั้งรายการประเภทละคร การ์ตูน ภาพยนตร์ ข่าว และโฆษณา ล้วนมีภาพของการใช้ความรุนแรงที่เยาวชนสามารถซึมซับมาเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมตนเองได้โดยง่าย
ในเวลาเดียวกัน การที่เยาวชนให้เวลาแก่เกมและโทรทัศน์รวมทั้งโทรศัพท์มากเกินไปนั้น ทำให้มีเวลา อ่านหนังสือน้อยลง ในปี ๒๕๔๘-๒๕๔๙ พบว่าเด็กและเยาวชนไทย ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละไม่ถึง ๒ ชั่วโมง และในปี ๒๕๕๐ ก็ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยมากขึ้นอีกวันละประมาณ ๒๐ นาที เท่านั้น
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สื่อสารสนเทศในปัจจุบันเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการแสดงออกของคนในสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ในขณะที่ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคสื่อของเด็กและเยาวชนระบุว่าสื่อที่เป็นอันตรายนำมาซึ่งปัญหาความรุนแรงมากเป็นอันดับต้น ๆ คือ สื่ออินเทอร์เน็ท เพราะมีลักษณะเป็นพื้นที่เปิดมากกว่าเนื้อหาที่ตายตัว ต่างกับสื่ออื่น ๆ ทำให้ยากต่อการดูแล เยาวชนจึงเข้าถึงสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ทเป็นอันดับ ๑ รองลงมาเป็นวีซีดีและหนังสือ ในอัตราส่วน ๔ ต่อ ๒ ต่อ ๑ ตามลำดับ และเมื่อเจาะลึกลงไปถึงข้อมูลการใช้ อินเทอร์เน็ท ในปี ๒๕๕๐ ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ทประมาณ ๑๓.๑๕ ล้านคน ในจำนวนนี้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งหรือราว ๖.๕ ล้านคน เป็นเด็กและเยาวชนต่ำกว่า ๒๕ ปี ขณะที่สถานการณ์เว็บไซด์ที่มีเนื้อหายั่วยุเรื่องเพศของไทย ก็มีจำนวนมากราว ๕๐๐,๐๐๐ เว็บไซด์ และสิ่งที่ระบาดเร็วที่สุดคือคลิปวีดีโอ ที่แสดงภาพนุ่งน้อยห่มน้อยของเด็กสาว ซึ่งการเผยแพร่คลิปในลักษณะนี้จะกระทำอย่างโจ่งแจ้ง มีผู้เป็นสปอนเซอร์เผยแพร่คลิปโป๊เปลือย อย่างน้อย ๒๕๐ เว็บไซด์ ผลการบริโภคสื่อที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ ส่งผลให้แนวโน้มของเด็กที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ทเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากอัตรา ๘.๙% ในปี ๒๕๔๙ เป็น ๑๑.๕% ในปี ๒๕๕๐ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง ๑๕ % ในปี ๒๕๕๑
จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยในปัจจุบันได้รับผลกระทบจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สื่อสารสนเทศ รวมทั้งสื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันนำมาซึ่งความเสียหายนานัปการและกระทบต่อชีวิตและความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก
ข้อมูล จากหนังสือวัคซีนสื่อสร้างสรรค์
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553
คำบ่ะเก่าสอนไว้
คำบ่ะเก่าสอนไว้
“คำบ่ะเก่า” เป็นภูมิปัญญาทางด้านภาษาของชาวล้านนา เป็นภูมิปัญญาที่ช่วยในการอนุรักษ์
สืบทอดคำเมืองซึ่งเป็นภาษาในท้องถิ่นล้านนา ที่มาจากการสร้างสมประสบการณ์ การสังเกต นับเป็น
องค์ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นคติเตือนใจ คำสอนในการดำรงชีวิต หรือแสดงถึง
วิถีชีวิตของคนในล้านนา และข้อห้ามในเรื่องต่าง ๆที่ไม่ควรปฏิบัติ เป็นคำสอนที่คนโบราณท่านสอนไว้
เป็นคติสอนใจได้เป็นอย่างดี
“อยู่หื้อมีไฟ ไปหื้อมีเพื่อน” ท่านสอนไว้ว่า “อยู่หื้อมีไฟ” หมายความว่า ในบ้านเรือนอย่าขาด
ไฟ ในเวลากลางวันเราใช้ไฟในการหุงหาอาหาร กลางคืนเราได้แสงสว่างจากไฟ และถ้าอากาศหนาวเราก็จะได้ความอบอุ่นจากไฟ หรือผิงไฟคลายหนาวให้ร่างกายอบอุ่น และไฟเป็นเครื่องเตือนสติ เมื่อจิตใจไม่สงบ
เกิดความเร่าร้อน พระท่านจะสอนให้เราพิจารณาเปลวไฟเพื่อให้เกิดสมาธิ ปัญญา ดับทุกข์ร้อนในใจ เกิดความ
สว่าง ซึ่งเป็นวิธีดับทุกข์ได้ “ไปหื้อมีเพื่อน” สอนให้เรารู้จักการอยู่ในสังคม การมีเพื่อนเราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ บางครั้งเรามีปัญหาบางอย่างในใจแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าเรามีเพื่อนอาจช่วยแก้ปัญหาให้เราได้ และเมื่อเดินทางไปในที่ต่าง ๆถ้ามีเพื่อนไปด้วยเราจะรู้สึกอบอุ่นไม่โดดเดี่ยว
“อดเผ็ดกิ๋นหวาน อดสานได้ซ้า” ความหมาย “อดทนกินเผ็ดไปก่อน เพื่อที่จะได้กินหวานในวันข้างหน้า ทนสานตะกร้าในวันนี้ เพื่อจะได้ใช้ตะกร้าในวันข้างหน้า” เปรียบได้ว่า คนที่มีความขยันหมั่นเพียรอดทนไม่ย่อท้อกับอุปสรรค จะทำให้มีจิตใจเข้มแข็ง ภายหลังจะประสบแต่ความสุขสมหวัง
ในชีวิต เพราะผ่านเรื่องต่าง ๆมาแล้วทำให้เป็นคนเข้มแข็งอดทน
“ก้นหม้อบ่ฮ้อน บ่เป็นแต่ไห มันเป็นแต่ไฟ บ่าใจ้กับหม้อ” ท่านสอนให้อย่าด่วนตัดสินต้อง
หาสาเหตุของปัญหา และควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน เปรียบได้ว่า เมื่อทำสิ่งใดแล้วเกิดปัญหาต้องค้นหาสาเหตุที่เกิด และการที่จะคิดทำอะไรต้องคิดไตร่ตรองก่อน จะได้ไม่เกิดผลเสียภายหลัง หรือการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด
ภูมิปัญญาของบรรพชนชาวล้านนา ไม่ว่าจะด้านใดก็ตามล้วนแฝงไปด้วยความคิดที่ชาญฉลาด
มีความลึกซึ้ง และมีเอกลักษณ์ชัดเจน ลูกหลานในยุคนี้ควรช่วยกันส่งเสริมอนุรักษ์ และนำมาเป็นคติสอนใจ
นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาทางวรรณกรรมท้องถิ่นที่ทรงคุณค่าอีกด้านหนึ่งด้วยที่ต้องช่วยกันสืบสานและอนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญหายไป
โดย นางน้ำทิพย์ มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติงานประจำอำเภอเมืองปาน
สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
แหล่งข้อมูล สิริกร ไชยมา.ภูมิปัญญาในวิถีชีวิตล้านนา.แพร่:แพร่ไทยอุตสาหการพิมพ์, ๒๕๔๔.
(พิมม์ครั้งที่ ๒)
นิคม พรหมมาแพทย์.ผะหญาล้านนา เล่มสาม.เชียงใหม่:โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๔๖.
“คำบ่ะเก่า” เป็นภูมิปัญญาทางด้านภาษาของชาวล้านนา เป็นภูมิปัญญาที่ช่วยในการอนุรักษ์
สืบทอดคำเมืองซึ่งเป็นภาษาในท้องถิ่นล้านนา ที่มาจากการสร้างสมประสบการณ์ การสังเกต นับเป็น
องค์ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นคติเตือนใจ คำสอนในการดำรงชีวิต หรือแสดงถึง
วิถีชีวิตของคนในล้านนา และข้อห้ามในเรื่องต่าง ๆที่ไม่ควรปฏิบัติ เป็นคำสอนที่คนโบราณท่านสอนไว้
เป็นคติสอนใจได้เป็นอย่างดี
“อยู่หื้อมีไฟ ไปหื้อมีเพื่อน” ท่านสอนไว้ว่า “อยู่หื้อมีไฟ” หมายความว่า ในบ้านเรือนอย่าขาด
ไฟ ในเวลากลางวันเราใช้ไฟในการหุงหาอาหาร กลางคืนเราได้แสงสว่างจากไฟ และถ้าอากาศหนาวเราก็จะได้ความอบอุ่นจากไฟ หรือผิงไฟคลายหนาวให้ร่างกายอบอุ่น และไฟเป็นเครื่องเตือนสติ เมื่อจิตใจไม่สงบ
เกิดความเร่าร้อน พระท่านจะสอนให้เราพิจารณาเปลวไฟเพื่อให้เกิดสมาธิ ปัญญา ดับทุกข์ร้อนในใจ เกิดความ
สว่าง ซึ่งเป็นวิธีดับทุกข์ได้ “ไปหื้อมีเพื่อน” สอนให้เรารู้จักการอยู่ในสังคม การมีเพื่อนเราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ บางครั้งเรามีปัญหาบางอย่างในใจแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าเรามีเพื่อนอาจช่วยแก้ปัญหาให้เราได้ และเมื่อเดินทางไปในที่ต่าง ๆถ้ามีเพื่อนไปด้วยเราจะรู้สึกอบอุ่นไม่โดดเดี่ยว
“อดเผ็ดกิ๋นหวาน อดสานได้ซ้า” ความหมาย “อดทนกินเผ็ดไปก่อน เพื่อที่จะได้กินหวานในวันข้างหน้า ทนสานตะกร้าในวันนี้ เพื่อจะได้ใช้ตะกร้าในวันข้างหน้า” เปรียบได้ว่า คนที่มีความขยันหมั่นเพียรอดทนไม่ย่อท้อกับอุปสรรค จะทำให้มีจิตใจเข้มแข็ง ภายหลังจะประสบแต่ความสุขสมหวัง
ในชีวิต เพราะผ่านเรื่องต่าง ๆมาแล้วทำให้เป็นคนเข้มแข็งอดทน
“ก้นหม้อบ่ฮ้อน บ่เป็นแต่ไห มันเป็นแต่ไฟ บ่าใจ้กับหม้อ” ท่านสอนให้อย่าด่วนตัดสินต้อง
หาสาเหตุของปัญหา และควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน เปรียบได้ว่า เมื่อทำสิ่งใดแล้วเกิดปัญหาต้องค้นหาสาเหตุที่เกิด และการที่จะคิดทำอะไรต้องคิดไตร่ตรองก่อน จะได้ไม่เกิดผลเสียภายหลัง หรือการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด
ภูมิปัญญาของบรรพชนชาวล้านนา ไม่ว่าจะด้านใดก็ตามล้วนแฝงไปด้วยความคิดที่ชาญฉลาด
มีความลึกซึ้ง และมีเอกลักษณ์ชัดเจน ลูกหลานในยุคนี้ควรช่วยกันส่งเสริมอนุรักษ์ และนำมาเป็นคติสอนใจ
นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาทางวรรณกรรมท้องถิ่นที่ทรงคุณค่าอีกด้านหนึ่งด้วยที่ต้องช่วยกันสืบสานและอนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญหายไป
โดย นางน้ำทิพย์ มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติงานประจำอำเภอเมืองปาน
สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
แหล่งข้อมูล สิริกร ไชยมา.ภูมิปัญญาในวิถีชีวิตล้านนา.แพร่:แพร่ไทยอุตสาหการพิมพ์, ๒๕๔๔.
(พิมม์ครั้งที่ ๒)
นิคม พรหมมาแพทย์.ผะหญาล้านนา เล่มสาม.เชียงใหม่:โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๔๖.
การหล่อพระพุทธรูป และระเบียบเกี่ยวกับการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
การหล่อพระพุทธรูป และระเบียบเกี่ยวกับการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ด้วยสภาวัฒนธรรมตำบลแม่เมาะ ได้ร่วมกับเทศบาลตำบลแม่เมาะจัดประชุมปรึกษาหารือการหล่อพระพุทธรูปประดิษฐาน ณ ภูเขาไฟจำปาแดด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓ ณ เทศบาลตำบลแม่เมาะ จึงได้มีศึกษารวบรวมข้อมูลการหล่อพระพุทธรูป และระเบียบเกี่ยวกับการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
พระพุทธรูป คือ สัญลักษณ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พุทธศาสนิกชนทุกคนกราบไหว้บูชา เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม
การสร้างพระพุทธรูปมี 2 ขนาด คือ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปขนาดเล็ก พระพุทธรูปที่มีขนาดหน้าตัก 20 นิ้วขึ้นไป จัดว่าเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ โดยมากสร้างไว้เป็นพระประธานในโบสถ์หรือวิหาร แต่กว่าจะออกมาเป็นพระพุทธรูปหนึ่งองค์ให้เราบูชาต้องใช้เวลานานเป็นเดือนเป็นปี เหตุนี้เองช่างทำพระหรือที่เรียกว่าช่างหล่อ จึงต้องเป็นคนที่มีใจรักในงานและมีความอดทนสูง ด้วยความสลับซับซ้อนของขั้นตอนที่มีมากมายหลากหลาย งานหล่อพระพุทธรูปจึงเป็นปฏิมากรรมที่รวมเอาช่างฝีมือในหมวดช่างสิบหมู่ไว้แทบทุกแขนง ทั้งช่างปั้น ช่างหล่อหรือช่างเททอง ช่างขัดและช่างลงรักปิดทอง โดยมีลำดับการสร้างพระพุทธรูปเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นตอนการปั้นหุ่น ช่างปั้นโบราณจะใช้ดินเหนียวคุณภาพดีมีสีเหลืองเรียกว่า "ดินขี้งูเหลือม" นวดผสมกับทรายละเอียด โดยการเหยียบให้เข้ากัน จากนั้นจึงเริ่มปั้นส่วนต่างๆ ขึ้นมาเป็นองค์พระ ถ้าเป็นการปั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อาจต้องปั้นส่วนต่างๆ ของพระวรกายแยกกัน เช่น นิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาท พระกรรณ รัศมี และเม็ดพระศก แล้วจึงนำมาประกอบกันในภายหลัง แล้วตกแต่งองค์พระทั้งด้านนอกและแกนในให้ได้สัดส่วนสวยงามเกลี้ยงเกลาตามศิลปะสมัยนิยม เมื่อปั้นหุ่นหรือพิมพ์ได้รูปแล้วก็มาถึงขั้นตอน การเข้าขี้ผึ้ง นับเป็นงานฝีมืออีกอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญอย่างมาก (ขี้ผึ้งทำมาจากรังผึ้งที่ต้มเคี่ยวจนนิ่มติดมือ แล้วนำไปผสมกับยางชันกรองด้วยผ้าขาวบางจนได้เนื้อขี้ผึ้งละเอียด) แช่พิมพ์ในน้ำสักพัก จากนั้นทาดินเหนียวบางๆ ทั้งสองด้านของพิมพ์เพื่อเคลือบให้ผิวดินและทรายเป็นเนื้อเดียวกัน กรอกขี้ผึ้งลงไปในพิมพ์ให้เต็มแล้วเทออกใส่อ่างน้ำ ในกระบวนการนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากความร้อนจากขี้ผึ้งหลอมละลายมีอานุภาพทำให้มือและนิ้วแดงพองได้ ปั้นขี้ผึ้งที่เทลงอ่างเป็นแท่งกลมยัดลงพิมพ์ให้แน่นที่สุด ใช้มีดเฉือนขี้ผึ้งส่วนเกินออก แช่พิมพ์ลงในน้ำสักพักก็สามารถแกะแบบพระพิมพ์ขี้ผึ้งออกมาได้ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ จะใช้วิธีตีลาย คือนำขี้ผึ้งวางบนลายพิมพ์แล้วใช้ไม้รวกบดขี้ผึ้งจนเป็นลายตัดออกมาประกอบกับองค์พระก่อนนำไปหล่อต้องทามูลวัวลงบนหุ่นพระขี้ผึ้งเสียก่อน เพื่อให้เนื้อของแบบพิมพ์เรียบสนิท ที่สำคัญคือช่วยรักษาความชัดเจนของรูปร่างและลวดลายขององค์พระไว้อย่างดีด้วย (ส่วนผสมที่เรียกว่ามูลวัว คือ การนำมูลวัวสดๆ มาคั้นเอาแต่น้ำ กรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นนำมาผสมกับดินนวล) ทามูลวัวลงบนหุ่นพระขี้ผึ้งซ้ำไปซ้ำมา 3 ชั้น ตอกทอยเข้าไปในหุ่นเพื่อรับน้ำหนักให้สมดุลกัน (ทอยส่วนใหญ่มักทำด้วยเหล็ก) หุ่นที่ทามูลวัวเมื่อแห้งดีแล้วนำมาพอกด้วยดินเหนียวผสมทรายให้ทั่วอีกรอบ ก่อนนำออกผึ่งลมหรือตากแดดให้แห้งสนิท
๘กรรมวิธีต่อไป คือ การเข้าลวด ขั้นตอนนี้เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญเพราะลวดที่พันรอบหุ่นคือเกราะป้องกันการแตกตัวของดินเมื่อได้รับความร้อน หุ่นพระจะเสียหายและอาจต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หากดินแตก เมื่อผูกเหล็กเรียบร้อยแล้ว นำดินเหนียวพอกทับแม่พิมพ์อีกครั้งให้มิดลวด ขั้นตอนนี้เรียกว่า ทับปลอก จากนั้นจึงปั้นปากจอกหรือชนวนปิดบริเวณปากทางที่จะเททอง
2. ขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูป
ภาษาช่างเรียกขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูปว่า "การเททอง" หมายถึง การสุมทองหรือหลอมโลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง ทองสัมฤทธิ์ ให้ละลายเป็นของเหลวแล้วเทโลหะหรือทองนั้นลงในแม่พิมพ์ การหลอมโลหะนับเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาและความอดทน โดยเฉพาะทองแดงต้องใช้เวลาหลอมละลายไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง การหล่อพระนิยมใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงเผาหุ่นและใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงในการหลอมโลหะ ก่อนเททองต้องทำการสุมไฟหุ่นให้ร้อนจัดเพื่อสำรอกขี้ผึ้งที่ปั้นเป็นหุ่นอยู่ภายในหลอมละลายไหลออกมาจากแม่พิมพ์ทางช่องชนวนจนหมด และเผาแม่พิมพ์ต่อไปจนสุกพร้อมที่จะเททองหล่อพระได้ การหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ต้องทำนั่งร้านสำหรับเททอง พระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่หรือมีความสูงมากๆ จะใช้วิธีหล่อเป็นสองท่อนแล้วนำมาประกบกัน เมื่อเผาแม่พิมพ์ได้ที่ขณะเดียวกับทองที่หลอมในเบ้าละลายดีแล้ว ก็เตรียมยกเบ้าทองไปเทลงในแม่พิมพ์ได้เลย การเททองต้องเทติดต่อกันมิฉะนั้นจะไม่ต่อเป็นเนื้อเดียว
ภายหลังการเททองเสร็จแล้วต้องปล่อยให้ทองในแม่พิมพ์เย็นตัวจึงจะจัดการทุบแม่พิมพ์ดินออกได้ รื้อแก้ลวดที่รัดแม่พิมพ์ออกให้หมด ถอนหรือตัดทอยออกแล้วใช้ตะไบหยาบขัดให้ทั่วทุกมุม พระพุทธรูปสำเร็จก็จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
2.. ขั้นตอนการขัดแต่งพระพุทธรูป
พระพุทธรูปเมื่อทุบแม่พิมพ์ออกแล้วผิวพื้นขององค์พระจะไม่เรียบ มีคราบเผาไหม้ปรากฏอยู่โดยทั่ว ดังนั้น เมื่อทำการหล่อแล้วจึงต้องมีการขัดแต่งผิวให้มันเงา ขั้นตอนการขัดมันในปัจจุบันนิยมใช้เครื่องขัดกดจี้กับองค์พระจนผิวเรียบเกลี้ยง จากนั้นเปลี่ยนผ้าขัดเงาให้เป็นผ้าที่มีความนิ่มปุยขัดต่อโดยใช้ยาขัดเงาสีแดงเป็นตัวเพิ่มความแวววาว จากนั้นจึงลงรักปิดทองด้วยการนำองค์พระล้างน้ำให้สะอาดก่อนลงรัก ใช้น้ำรักผสมสมุกบดให้เข้ากันจนข้นแข็งไม่ติดมือ นำน้ำรักมาเกลี่ยให้ทั่วองค์พระปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-20 วัน เมื่อรักแห้งสนิทขัดอีกครั้งด้วยกระดาษทรายลบสันคมและรอยคลื่นออกให้เกลี้ยงเกลา ล้างน้ำให้สะอาดทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อองค์พระแห้งแล้วใช้แปรงจุ่มลงทาให้ทั่ว ผึ่งลมรอจนแห้งแล้วใช้น้ำรักทาทับอีกครั้ง คลุมองค์พระด้วยผ้าชุบน้ำทิ้งไว้ประมาณ 10 ชั่วโมง แล้วเปิดออกดู เมื่อน้ำรักไม่ติดมือก็ถือว่าใช้ได้ ปิดทองแล้วเกลี่ยให้ทั่วตลอดองค์ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ก็มาถึงพิธีการเบิกพระเนตร สำหรับตาดำนิยมใช้นิลดำทำเป็นรูปทรงไข่ ตาขาวใช้เปลือกหอยมุกไฟ ปอกเปลือกนอกออก แต่งด้วยตะไบแล้วนำไปติดโดยใช้น้ำรักผสมสมุก (ใบตองแห้งเผาแล้วนำมาร่อนจนละเอียด) ตาหนึ่งข้างจะติดที่หัวตา 1 อัน และหางตาอีก 1 อัน ขณะใส่ตานิลต้องท่องคาถาคำว่า "ทิพจักขุ จักขุ ปะถัง อาคุจฉาติ" เป็นอันเสร็จพิธีการปั้นและหล่อพระพุทธรูป
ระเบียบเกี่ยวกับการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
สำหรับการหล่อพระพุทธรูปนั้น หน่วยงานหรือผู้ที่มีความประสงค์จะจำลองพระพุทธรูปสำคัญจะต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ.2520 โดยจะต้องทำหนังสือแจ้งความประสงค์ขออนุญาตดำเนินการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ เสนอถึง อธิบดีกรมศิลปากรพิจารณาอนุญาตดำเนินการ โดยแนบเอกสารดังนี้
1) ชื่อและประวัติความสำคัญของพระพุทธรูปที่ขอจำลอง
2) เหตุผลและวัตถุประสงค์ในการขอจำลองพระพุทธรูปที่จำลองแล้ว
3) รูป ลักษณะ ขนาด หรือแบบรายการของพระพุทธรูปที่จำลองแล้ว
4) จำนวนที่ขอจำลอง และชนิดของวัสดุที่ใช้จำลอง
5) รายละเอียดอื่นๆ รวมทั้งชื่อหน่วยงาน บุคคล หรือนิตบุคคลที่รับผิดชอบดำเนินการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ที่มาข้อมูล
1.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ.2520
2.www.aksorn.com3.หนังสือกินรี ฉบับเดือนเมษายน 2003 หน้า 60 - 72
ด้วยสภาวัฒนธรรมตำบลแม่เมาะ ได้ร่วมกับเทศบาลตำบลแม่เมาะจัดประชุมปรึกษาหารือการหล่อพระพุทธรูปประดิษฐาน ณ ภูเขาไฟจำปาแดด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓ ณ เทศบาลตำบลแม่เมาะ จึงได้มีศึกษารวบรวมข้อมูลการหล่อพระพุทธรูป และระเบียบเกี่ยวกับการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
พระพุทธรูป คือ สัญลักษณ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พุทธศาสนิกชนทุกคนกราบไหว้บูชา เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม
การสร้างพระพุทธรูปมี 2 ขนาด คือ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปขนาดเล็ก พระพุทธรูปที่มีขนาดหน้าตัก 20 นิ้วขึ้นไป จัดว่าเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ โดยมากสร้างไว้เป็นพระประธานในโบสถ์หรือวิหาร แต่กว่าจะออกมาเป็นพระพุทธรูปหนึ่งองค์ให้เราบูชาต้องใช้เวลานานเป็นเดือนเป็นปี เหตุนี้เองช่างทำพระหรือที่เรียกว่าช่างหล่อ จึงต้องเป็นคนที่มีใจรักในงานและมีความอดทนสูง ด้วยความสลับซับซ้อนของขั้นตอนที่มีมากมายหลากหลาย งานหล่อพระพุทธรูปจึงเป็นปฏิมากรรมที่รวมเอาช่างฝีมือในหมวดช่างสิบหมู่ไว้แทบทุกแขนง ทั้งช่างปั้น ช่างหล่อหรือช่างเททอง ช่างขัดและช่างลงรักปิดทอง โดยมีลำดับการสร้างพระพุทธรูปเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นตอนการปั้นหุ่น ช่างปั้นโบราณจะใช้ดินเหนียวคุณภาพดีมีสีเหลืองเรียกว่า "ดินขี้งูเหลือม" นวดผสมกับทรายละเอียด โดยการเหยียบให้เข้ากัน จากนั้นจึงเริ่มปั้นส่วนต่างๆ ขึ้นมาเป็นองค์พระ ถ้าเป็นการปั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อาจต้องปั้นส่วนต่างๆ ของพระวรกายแยกกัน เช่น นิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาท พระกรรณ รัศมี และเม็ดพระศก แล้วจึงนำมาประกอบกันในภายหลัง แล้วตกแต่งองค์พระทั้งด้านนอกและแกนในให้ได้สัดส่วนสวยงามเกลี้ยงเกลาตามศิลปะสมัยนิยม เมื่อปั้นหุ่นหรือพิมพ์ได้รูปแล้วก็มาถึงขั้นตอน การเข้าขี้ผึ้ง นับเป็นงานฝีมืออีกอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญอย่างมาก (ขี้ผึ้งทำมาจากรังผึ้งที่ต้มเคี่ยวจนนิ่มติดมือ แล้วนำไปผสมกับยางชันกรองด้วยผ้าขาวบางจนได้เนื้อขี้ผึ้งละเอียด) แช่พิมพ์ในน้ำสักพัก จากนั้นทาดินเหนียวบางๆ ทั้งสองด้านของพิมพ์เพื่อเคลือบให้ผิวดินและทรายเป็นเนื้อเดียวกัน กรอกขี้ผึ้งลงไปในพิมพ์ให้เต็มแล้วเทออกใส่อ่างน้ำ ในกระบวนการนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากความร้อนจากขี้ผึ้งหลอมละลายมีอานุภาพทำให้มือและนิ้วแดงพองได้ ปั้นขี้ผึ้งที่เทลงอ่างเป็นแท่งกลมยัดลงพิมพ์ให้แน่นที่สุด ใช้มีดเฉือนขี้ผึ้งส่วนเกินออก แช่พิมพ์ลงในน้ำสักพักก็สามารถแกะแบบพระพิมพ์ขี้ผึ้งออกมาได้ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ จะใช้วิธีตีลาย คือนำขี้ผึ้งวางบนลายพิมพ์แล้วใช้ไม้รวกบดขี้ผึ้งจนเป็นลายตัดออกมาประกอบกับองค์พระก่อนนำไปหล่อต้องทามูลวัวลงบนหุ่นพระขี้ผึ้งเสียก่อน เพื่อให้เนื้อของแบบพิมพ์เรียบสนิท ที่สำคัญคือช่วยรักษาความชัดเจนของรูปร่างและลวดลายขององค์พระไว้อย่างดีด้วย (ส่วนผสมที่เรียกว่ามูลวัว คือ การนำมูลวัวสดๆ มาคั้นเอาแต่น้ำ กรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นนำมาผสมกับดินนวล) ทามูลวัวลงบนหุ่นพระขี้ผึ้งซ้ำไปซ้ำมา 3 ชั้น ตอกทอยเข้าไปในหุ่นเพื่อรับน้ำหนักให้สมดุลกัน (ทอยส่วนใหญ่มักทำด้วยเหล็ก) หุ่นที่ทามูลวัวเมื่อแห้งดีแล้วนำมาพอกด้วยดินเหนียวผสมทรายให้ทั่วอีกรอบ ก่อนนำออกผึ่งลมหรือตากแดดให้แห้งสนิท
๘กรรมวิธีต่อไป คือ การเข้าลวด ขั้นตอนนี้เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญเพราะลวดที่พันรอบหุ่นคือเกราะป้องกันการแตกตัวของดินเมื่อได้รับความร้อน หุ่นพระจะเสียหายและอาจต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หากดินแตก เมื่อผูกเหล็กเรียบร้อยแล้ว นำดินเหนียวพอกทับแม่พิมพ์อีกครั้งให้มิดลวด ขั้นตอนนี้เรียกว่า ทับปลอก จากนั้นจึงปั้นปากจอกหรือชนวนปิดบริเวณปากทางที่จะเททอง
2. ขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูป
ภาษาช่างเรียกขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูปว่า "การเททอง" หมายถึง การสุมทองหรือหลอมโลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง ทองสัมฤทธิ์ ให้ละลายเป็นของเหลวแล้วเทโลหะหรือทองนั้นลงในแม่พิมพ์ การหลอมโลหะนับเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาและความอดทน โดยเฉพาะทองแดงต้องใช้เวลาหลอมละลายไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง การหล่อพระนิยมใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงเผาหุ่นและใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงในการหลอมโลหะ ก่อนเททองต้องทำการสุมไฟหุ่นให้ร้อนจัดเพื่อสำรอกขี้ผึ้งที่ปั้นเป็นหุ่นอยู่ภายในหลอมละลายไหลออกมาจากแม่พิมพ์ทางช่องชนวนจนหมด และเผาแม่พิมพ์ต่อไปจนสุกพร้อมที่จะเททองหล่อพระได้ การหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ต้องทำนั่งร้านสำหรับเททอง พระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่หรือมีความสูงมากๆ จะใช้วิธีหล่อเป็นสองท่อนแล้วนำมาประกบกัน เมื่อเผาแม่พิมพ์ได้ที่ขณะเดียวกับทองที่หลอมในเบ้าละลายดีแล้ว ก็เตรียมยกเบ้าทองไปเทลงในแม่พิมพ์ได้เลย การเททองต้องเทติดต่อกันมิฉะนั้นจะไม่ต่อเป็นเนื้อเดียว
ภายหลังการเททองเสร็จแล้วต้องปล่อยให้ทองในแม่พิมพ์เย็นตัวจึงจะจัดการทุบแม่พิมพ์ดินออกได้ รื้อแก้ลวดที่รัดแม่พิมพ์ออกให้หมด ถอนหรือตัดทอยออกแล้วใช้ตะไบหยาบขัดให้ทั่วทุกมุม พระพุทธรูปสำเร็จก็จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
2.. ขั้นตอนการขัดแต่งพระพุทธรูป
พระพุทธรูปเมื่อทุบแม่พิมพ์ออกแล้วผิวพื้นขององค์พระจะไม่เรียบ มีคราบเผาไหม้ปรากฏอยู่โดยทั่ว ดังนั้น เมื่อทำการหล่อแล้วจึงต้องมีการขัดแต่งผิวให้มันเงา ขั้นตอนการขัดมันในปัจจุบันนิยมใช้เครื่องขัดกดจี้กับองค์พระจนผิวเรียบเกลี้ยง จากนั้นเปลี่ยนผ้าขัดเงาให้เป็นผ้าที่มีความนิ่มปุยขัดต่อโดยใช้ยาขัดเงาสีแดงเป็นตัวเพิ่มความแวววาว จากนั้นจึงลงรักปิดทองด้วยการนำองค์พระล้างน้ำให้สะอาดก่อนลงรัก ใช้น้ำรักผสมสมุกบดให้เข้ากันจนข้นแข็งไม่ติดมือ นำน้ำรักมาเกลี่ยให้ทั่วองค์พระปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-20 วัน เมื่อรักแห้งสนิทขัดอีกครั้งด้วยกระดาษทรายลบสันคมและรอยคลื่นออกให้เกลี้ยงเกลา ล้างน้ำให้สะอาดทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อองค์พระแห้งแล้วใช้แปรงจุ่มลงทาให้ทั่ว ผึ่งลมรอจนแห้งแล้วใช้น้ำรักทาทับอีกครั้ง คลุมองค์พระด้วยผ้าชุบน้ำทิ้งไว้ประมาณ 10 ชั่วโมง แล้วเปิดออกดู เมื่อน้ำรักไม่ติดมือก็ถือว่าใช้ได้ ปิดทองแล้วเกลี่ยให้ทั่วตลอดองค์ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ก็มาถึงพิธีการเบิกพระเนตร สำหรับตาดำนิยมใช้นิลดำทำเป็นรูปทรงไข่ ตาขาวใช้เปลือกหอยมุกไฟ ปอกเปลือกนอกออก แต่งด้วยตะไบแล้วนำไปติดโดยใช้น้ำรักผสมสมุก (ใบตองแห้งเผาแล้วนำมาร่อนจนละเอียด) ตาหนึ่งข้างจะติดที่หัวตา 1 อัน และหางตาอีก 1 อัน ขณะใส่ตานิลต้องท่องคาถาคำว่า "ทิพจักขุ จักขุ ปะถัง อาคุจฉาติ" เป็นอันเสร็จพิธีการปั้นและหล่อพระพุทธรูป
ระเบียบเกี่ยวกับการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
สำหรับการหล่อพระพุทธรูปนั้น หน่วยงานหรือผู้ที่มีความประสงค์จะจำลองพระพุทธรูปสำคัญจะต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ.2520 โดยจะต้องทำหนังสือแจ้งความประสงค์ขออนุญาตดำเนินการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ เสนอถึง อธิบดีกรมศิลปากรพิจารณาอนุญาตดำเนินการ โดยแนบเอกสารดังนี้
1) ชื่อและประวัติความสำคัญของพระพุทธรูปที่ขอจำลอง
2) เหตุผลและวัตถุประสงค์ในการขอจำลองพระพุทธรูปที่จำลองแล้ว
3) รูป ลักษณะ ขนาด หรือแบบรายการของพระพุทธรูปที่จำลองแล้ว
4) จำนวนที่ขอจำลอง และชนิดของวัสดุที่ใช้จำลอง
5) รายละเอียดอื่นๆ รวมทั้งชื่อหน่วยงาน บุคคล หรือนิตบุคคลที่รับผิดชอบดำเนินการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ
ที่มาข้อมูล
1.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ.2520
2.www.aksorn.com3.หนังสือกินรี ฉบับเดือนเมษายน 2003 หน้า 60 - 72
วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553
เรื่อง ประวัติเจ้าพ่อขุนตาน
ดวงสมร ขอบคำ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ในเรื่องเล่าที่เป็นตำนานถือว่าเป็น “มุขปาฐะ” การบันทึกแบบจารีตประเพณีที่เล่าสืบต่อถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีพยานหลักฐานเป็นสถานที่ พิธีกรรมรวมถึงแหล่งน้ำอันเป็ทรัพยากรธรรมชาติ บนความเชื่ออย่างอิสสระและชอบธรรม “เจ้าพ่อขุนตาน” นามนี้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่คนลุ่มน้ำแม่ตานต่างให้ความเคารพยำเกรงและเชื่อมั่นว่าท่านเป็นผู้ที่สามารถปกปักรักษาและดลบันดาลให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ไหลหล่อเลี้ยง พอเพียงแก่การดื่มกินและทำนา“เจ้าพ่อขุนตาน”ตำนานจากการสืบค้นของนายอุดม สืบหล้าอดีตศึกษาธิการอำเภอห้างฉัตรความว่า เจ้าพ่อขุนตานมีพระนามว่า “พญาเบิก”เป็นเจ้าเมืองเขลางค์นครและเป็นเจ้าเมืองเวียงตานในอำเภอห้างฉัตร เป็นราชบุตรของพญายีบา ผู้ครองนครหริภุญไชย (ลำพูน) ในปี พ.ศ.๑๘๑๔กองทัพของพญามังราย เจ้าเมืองเชียงรายและเจ้าเมืองฝาง ได้ยกไพร่พลมาตีเมืองหริภุญไชย(ลำพูน)และยึดได้ พญายีบาจึงเสด็จหนีไปพึ่งพญาเบิกผู้เป็นราชบุตร ได้สะสมไพร่พลวางกำลังตีสกัดทัพพญามังราย การสู้รบที่เมืองต้านศึกและตามแนวขุนเขาเป็นการสู้รบอย่างหนักในที่สุดก็พ่ายแพ้ทัพพญามังราย พญาเบิกเป็นยอดนักรบ คงกระพันชาตรี มีกุศโลบายในการวางผังรบอย่างฉกาจฉกรรจ์ นับว่าเป็นอัจฉริยะในการรบอย่างยิ่ง เพื่อเทิดทูนพญาเบิกหรือเจ้าพ่อขุนตาน จึงได้จัดสร้างอนุสาวรีย์ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๘ ณ หมู่บ้านหัววัง หมู่ที่ ๕ ตำบลเวียงตาล อำเภอห้างฉัตร ในสมัยร้อยตรีไพโรจน์ ประภาสวัต เป็นนายอำเภอห้างฉัตร และทุกปีชาวอำเภอห้างฉัตร จะร่วมกันจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อขุนตาน ตามพิธีกรรมล้านนา ณ อนุสาวรีย์เจ้าพ่อขุนตาน เพื่อเป็นเกียรติประวัติและระลึกคุณงามความดีของท่าน นักรบชื่อก้องของอำเภอห้างฉัตร และในช่วงแต่ละเดือน จะมีประเพณีและพิธีกรรม ในการบวงสรวงเจ้าพ่อขุนตานไม่เหมือนกัน ดังนี้
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๕ ออก ๖ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ คู่ ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๖ ออก ๑๕ ค่ำ ถวายปลาส้าจากวังอี่นาครั้งละ ๒๘ ตัว ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๗ วันพญาวัน แห่หอผ้ากัณฑ์เทศน์เจ้าพ่อขุนตานไปถวายวัดห้างฉัตร
- เดือน ๗ วันพญาวัน ถวายปลาส้าจากโหลงใหม่ครั้งละ๓๖ตัว ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๗ วันปากปี จุดบอกไฟถวายเจ้าพ่อ
- เดือน ๘ ออก ๑๕ ค่ำ แห่หอผ้าไปถวายงานประเพณีวัดพระธาตุดอยน้อย(สันทราย)
- เดือน ๘ แรม ๘ ค่ำ แห่หอผ้าไปถวายงานประเพณีวัดพระธาตุดอยนาย(ปางม่วง)
- วันที่ ๑๒ พฤษภาคมทุกปี ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อขุนตาน ณ อุทยานประวัติศาสตร์
เจ้าพ่อขุนตาน เวียงตาน
- เดือน ๙ ออก ๑๔ ค่ำ ประเพณีแห่ช้างเผือกจากพญาท้ายน้ำ บ้านลำปางหลวง
ไปแท่น ช้างเผือกเวียงลม
- เดือน ๙ ออก ๑๕ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ คู่และจุดปอกไฟถวาย ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๑๐ แรม ๗ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ ตัว หมู ๑ ตัว พิธีไขประตูดอย ริมฝั่งน้ำแม่ตานใกล้
วัดพระธาตุดอยนาย(ปางม่วง)
- เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ เลี้ยงเหล้า และไก่ ๒ ตัว แด่อารักษ์ผู้รักษาต้น และลำห้วยพิธีเลี้ยง
ห้วยเลี้ยงฮ่อง ณ สบต่าง ๆ จำนวน ๕ สบ จนถึงเทือกเขา
ขุนตาน
- เดือน ๑๐ แรม ๑๔ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ ตัว หมู ๑ ตัว ณ สบลอง บ้านปางปง
--------------------
อ้างอิงจาก : โครงการสืบค้นประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ตำนานเจ้าพ่อขุนตาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนบ้านห้างฉัตร ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
ดวงสมร ขอบคำ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ในเรื่องเล่าที่เป็นตำนานถือว่าเป็น “มุขปาฐะ” การบันทึกแบบจารีตประเพณีที่เล่าสืบต่อถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีพยานหลักฐานเป็นสถานที่ พิธีกรรมรวมถึงแหล่งน้ำอันเป็ทรัพยากรธรรมชาติ บนความเชื่ออย่างอิสสระและชอบธรรม “เจ้าพ่อขุนตาน” นามนี้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่คนลุ่มน้ำแม่ตานต่างให้ความเคารพยำเกรงและเชื่อมั่นว่าท่านเป็นผู้ที่สามารถปกปักรักษาและดลบันดาลให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ไหลหล่อเลี้ยง พอเพียงแก่การดื่มกินและทำนา“เจ้าพ่อขุนตาน”ตำนานจากการสืบค้นของนายอุดม สืบหล้าอดีตศึกษาธิการอำเภอห้างฉัตรความว่า เจ้าพ่อขุนตานมีพระนามว่า “พญาเบิก”เป็นเจ้าเมืองเขลางค์นครและเป็นเจ้าเมืองเวียงตานในอำเภอห้างฉัตร เป็นราชบุตรของพญายีบา ผู้ครองนครหริภุญไชย (ลำพูน) ในปี พ.ศ.๑๘๑๔กองทัพของพญามังราย เจ้าเมืองเชียงรายและเจ้าเมืองฝาง ได้ยกไพร่พลมาตีเมืองหริภุญไชย(ลำพูน)และยึดได้ พญายีบาจึงเสด็จหนีไปพึ่งพญาเบิกผู้เป็นราชบุตร ได้สะสมไพร่พลวางกำลังตีสกัดทัพพญามังราย การสู้รบที่เมืองต้านศึกและตามแนวขุนเขาเป็นการสู้รบอย่างหนักในที่สุดก็พ่ายแพ้ทัพพญามังราย พญาเบิกเป็นยอดนักรบ คงกระพันชาตรี มีกุศโลบายในการวางผังรบอย่างฉกาจฉกรรจ์ นับว่าเป็นอัจฉริยะในการรบอย่างยิ่ง เพื่อเทิดทูนพญาเบิกหรือเจ้าพ่อขุนตาน จึงได้จัดสร้างอนุสาวรีย์ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๘ ณ หมู่บ้านหัววัง หมู่ที่ ๕ ตำบลเวียงตาล อำเภอห้างฉัตร ในสมัยร้อยตรีไพโรจน์ ประภาสวัต เป็นนายอำเภอห้างฉัตร และทุกปีชาวอำเภอห้างฉัตร จะร่วมกันจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อขุนตาน ตามพิธีกรรมล้านนา ณ อนุสาวรีย์เจ้าพ่อขุนตาน เพื่อเป็นเกียรติประวัติและระลึกคุณงามความดีของท่าน นักรบชื่อก้องของอำเภอห้างฉัตร และในช่วงแต่ละเดือน จะมีประเพณีและพิธีกรรม ในการบวงสรวงเจ้าพ่อขุนตานไม่เหมือนกัน ดังนี้
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๕ ออก ๖ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ คู่ ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๖ ออก ๑๕ ค่ำ ถวายปลาส้าจากวังอี่นาครั้งละ ๒๘ ตัว ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๗ วันพญาวัน แห่หอผ้ากัณฑ์เทศน์เจ้าพ่อขุนตานไปถวายวัดห้างฉัตร
- เดือน ๗ วันพญาวัน ถวายปลาส้าจากโหลงใหม่ครั้งละ๓๖ตัว ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๗ วันปากปี จุดบอกไฟถวายเจ้าพ่อ
- เดือน ๘ ออก ๑๕ ค่ำ แห่หอผ้าไปถวายงานประเพณีวัดพระธาตุดอยน้อย(สันทราย)
- เดือน ๘ แรม ๘ ค่ำ แห่หอผ้าไปถวายงานประเพณีวัดพระธาตุดอยนาย(ปางม่วง)
- วันที่ ๑๒ พฤษภาคมทุกปี ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อขุนตาน ณ อุทยานประวัติศาสตร์
เจ้าพ่อขุนตาน เวียงตาน
- เดือน ๙ ออก ๑๔ ค่ำ ประเพณีแห่ช้างเผือกจากพญาท้ายน้ำ บ้านลำปางหลวง
ไปแท่น ช้างเผือกเวียงลม
- เดือน ๙ ออก ๑๕ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ คู่และจุดปอกไฟถวาย ณ หอเจ้าพ่อขุนตาน
- เดือน ๑๐ แรม ๗ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ ตัว หมู ๑ ตัว พิธีไขประตูดอย ริมฝั่งน้ำแม่ตานใกล้
วัดพระธาตุดอยนาย(ปางม่วง)
- เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ เลี้ยงเหล้า และไก่ ๒ ตัว แด่อารักษ์ผู้รักษาต้น และลำห้วยพิธีเลี้ยง
ห้วยเลี้ยงฮ่อง ณ สบต่าง ๆ จำนวน ๕ สบ จนถึงเทือกเขา
ขุนตาน
- เดือน ๑๐ แรม ๑๔ ค่ำ ถวายไก่ ๑๒ ตัว หมู ๑ ตัว ณ สบลอง บ้านปางปง
--------------------
อ้างอิงจาก : โครงการสืบค้นประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ตำนานเจ้าพ่อขุนตาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนบ้านห้างฉัตร ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)