วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิ่วในไตและท่อไต

อาการของนิ่วในไตและท่อไต
.......- ปวดบริเวณบั้นเอว ร้าวไปถึงหลัง หรือร้าวลงมาบริเวณขาหนีบ และหน้าขา
.......- ปัสสาวะขัด เวลาปวดปัสสาวะ และปัสสาวะอาจมีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อหรือเลือด
.......- ปัสสาวะขุ่น
.......- อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
.......- มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเอว ถ้ามีการอักเสบรุนแรงของไต
การรักษา
...... การรักษา ขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของก้อนนิ่ว ผงนิ่วเล็ก ๆ ที่ติดฝังอยู่ในเนื้อไต แพทย์จะให้คำแนะนะและรอดูอาการ โดยไม่ทำอะไร หากนิ่วก้อนเล็ก ๆ ขนาดไม่เกินครึ่งเซนติเมตร หรือเท่าหัวไม้ขีด มักจะหลุดได้เอง โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด แพทย์จะแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ ให้ยาบางชนิด เพื่อรักษาอาการปวดและขับปัสสาวะ ทำให้ก้อนนิ่วหลุดได้ง่ายขึ้น ส่วนนิ่วก้อนใหญ่ ไม่มีทางหลุดออกได้เอง แพทย์จะแนะนำให้เอาออก โดยอาจจะใช้เครื่องมือหรือทำการผ่าตัด

การป้องการไม่ให้เป็นนิ่วซ้ำอีก คือ ควรรู้จักหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดนิ่ว โดยมีหลักดังนี้
.......๑. นิ่วชนิดแคลเซียมออกซาเลต ควรลดอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมและออกซาเลตสูงพร้อม ๆ กัน
และลดอาหารเค็มจัด หรือวิตามินซีเกินความจำเป็น (ปกติร่างกายต้องการวิตามินซี วันละ ๔๐๐ – ๕๐๐
มิลลิกรัม ไม่ควรให้เกินวันละ ๑ กรัม เพราะวิตามินซี ทำให้ มีการดูดซึมของแคลเซียมและมีการสร้าง
ออกซาเชตสูง)
.......๒. นิ่วชนิดกรดยูริกและเกลือยูริก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีกรดยูริกในเลือดสูงหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์
ควรเลี่ยงอาหารที่มีสารฟิวรีนสูง เพราะตับจะเปลี่ยนสารนี้ให้เป็นกรดยูริกและขับออกทางปัสสาวะ จึง
ควรงดอาหารที่มีฟิวรินสูง และไม่ควรบริโภคอาหารที่มีฟิวรีน ปานกลางมากนัก
.......๓. นิ่วชนิดแคลเซียมฟอสเฟต แมกนีเซียมแอมโมเนียฟอตเฟต มักเกิดจากการอักเสบของทางเดินปัสสาวะต้องคอยตรวจปัสสาวะและใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

โดย ลัดดา คิดอ่าน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

หญ้าปักกิ่ง สมุนไพรบำบัด รักษาโรค

หญ้าปักกิ่ง สมุนไพรบำบัด รักษาโรค (เล่งจือเฉ้า) Murdannia IoriFormis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy Commelinaceae









ลักษณะของหญ้าปักกิ่ง
.............หญ้า ปักกิ่ง เป็นไม้ล้มลุก สูงราว ๑๐-๓๐ ซ.ม. ใบเดี่ยว หนาเรียวคล้ายใบไผ่ ฉ่ำน้ำดอกเล็ก ๆ ออกที่ปลายต้น สีบานเย็น กลีบขาวแกมม่วง ควรปลูกหญ้าปักกิ่งกับดินร่วนปนทราย และวางไว้ในที่ๆ มีแดดรำไร

สรรพคุณของหญ้าปักกิ่ง
.............หญ้าปักกิ่ง เป็นสมุนไพรรักษาโรคครอบจักรวาล ชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรรักษาโรคมา เป็นเวลาหลายพันปีแล้วใช้บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลย์ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน Activate Cells หญ้า ปักกิ่งรักษามะเร็งได้ในระดับหนึ่ง เช่น ในตับ ลำคอ มดลูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ต่อมน้ำเหลือง เม็ดโลหิต (ลูคีเมีย) รักษาไทรอยด์ ไตอักเสบ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจ แก้ไอ ระงับปวด บำรุงหัวใจ ไมเกรน ภูมิแพ้ ทำให้น้ำเหลืองแห้ง สามารถนำหญ้าปักกิ่งมาตำ แล้วพอกรักษาแผลต่าง ๆ เช่นงูสวัด เริม แผลเบาหวาน อีกทั้งยังช่วยระบบขับถ่ายดีมาก ฯลฯ (มีฮอร์โมน , เกลือแร่ , ไม่เป็นพิษระยะสั้น – ระยะยาว)

วีธีรับประทานหญ้าปักกิ่ง
.............สูตรมหิดล นำหญ้าปักกิ่ง ๖ ต้นทั้งรากล้างให้สะอาด และน้ำ ๔ ช้อนโต๊ะ ปั่นด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้ คั้นแล้วแบ่งรับประทาน ๒ มื้อ ก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมง ๑ ครั้ง ก่อนนอน ๑ ครั้ง

ข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับหญ้าปักกิ่ง
สารานุกรมสมุนไพรไทย โดยอาจารย์วุฒิ วุฒิธรรม
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ประสบการณ์จริงจากผู้ที่ใช้หญ้าปักกิ่งในการรักษาโรค ต่างๆ




โดย สุพัชรีย์ เป็งอินตา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ ๒ ในสตรีไทยรองลงมาจากมะเร็งเต้านม พบได้ตั้งแต่วัยสาวอายุก่อน ๓๐ ปี จนถึงวัยชราอายุ ๘๐ ปี พบมากในช่วง ๓๕-๕๐ ปี ในปีหนึ่งๆ พบว่ามีสตรีป่วยเป็นโรคนี้ทั่วโลก ทั้งๆ ที่เป็นมะเร็งที่ตรวจพบง่าย และสามารถป้องกันได้

.....คุณเสี่ยงกับมะเร็งปากมดลูกหรือไม่
  • มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ต่ำกว่า ๑๘ ปี
  • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • สามีหรือคู่นอนสำส่อนทางเพศ
  • สตรีที่เคยเป็นโรคติดเชื้อจากการร่วมเพศ เช่น กามโรค
  • สตรีที่เคยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่บริเวณอวัยวะเพศ เช่น เริม หงอนไก่
  • ผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือบกพร่อง เช่น ผู้ที่รับยาหลังการเปลี่ยนอวัยวะหรือผู้ติดเชื้อเอดส์
  • สตรีที่ติดบุหรี่ หรือผู้ใกล้ชิดเป็นผู้ติดบุหรี่

เมื่อพบภาวะผิดปกติดังต่อไปนี้ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์

มะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก จะมีอาการ ดังนั้นการป้องกันจึงจำเป็นต้องรับการตรวจตั้งแต่ไม่มีอาการ

  • มีตกขาวออกมาผิดปกติ อาจมีเลือดปนและมักมีกลิ่นเหม็น
  • มีประจำเดือนไม่ปกติ กะปริบกะปรอย หรือบางครั้งออกมาก
  • มีเลือดออกขณะ หรือหลังร่วมเพศ
  • มีเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน
  • อ่อนเพลีย ซีด เบื่ออาการ น้ำหนักลด
  • มีการบวม ปัสสาวะไม่ออก หรือไหลไม่หยุด
  • ปวดท้องน้อย หรือมีอาการผิดปกติของอวัยวะอื่นเมื่อโรคลุกลามไปถึง
    ผลข้างเคียง
  • ทำการตรวจหามะเร็งปากมดลูกปีละครั้ง หรือเมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาว หรือมีเลือดออกผิดปกติ
  • สตรีอายุ ๓๐ ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจภายใน เพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูก
  • สตรีที่รับการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือสตรีที่อยู่ในภาวะเสี่ยงควรได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก ๖ เดือน
  • ไม่ควรสูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่
  • ละเว้นการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV Vaccine) เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงสุด หากยังไม่เคยได้รับเชื้อนี้มาก่อน สามารถป้องกันได้ตั้งแต่อายุ ๙ ปีขึ้นไป

    ที่มา : http://www.phuketbulletin.co.th/health&beauty/view.php?id=๑๒๒

โดย เสาวภาคย์ คงแสง นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

๑๐ อาหารสุขภาพ ที่สาวๆ ควรมีติดตู้เย็น บท ๒

..............คุณสาว ๆ ยุคใหม่ทั้งหลาย การทานอาหารที่ประโยชน์ทำให้เราสวยอย่างมั่นใจทั้งภายในและปรากฏชัดในรูปโฉมภายนอก เรามาดูกันต่อจากเดือนก่อน ซึ่งได้บอกถึงอาหารสุขภาพไปแล้ว ๕ อย่าง ลองดูอีก ๕ อย่างนะคะว่าจะตรงใจสาว ๆ หรือเปล่า หากยังไม่มีรีบไปหามาใส่ตู้เย็นอย่างด่วนเชียว
..............๖. ผลไม้รสเปรี้ยว ต้องย้ำไว้ก่อนค่ะว่าเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง , ฝรั่ง , กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย
..............๗. โยเกิรต์ เป็นผลิตภัณฑ์จากนมยอดฮิตที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ โดยใน "โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี๑, บี ๒, บี๓,บี๖, บี๑๒, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ
..............๘. แอปเปิ้ล คำกล่าวที่ว่า " ถ้ารับประทานแอปเปิ้ลวันละผลแล้วล่ะก็จะไม่ต้องไปหาหมอ " คงเป็น
คำกล่าวที่ไม่เกินจริงนัก เพราะแอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น อ้อ ถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกค่ะ เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง ๑ ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี ๘๒๐ มิลลิกรัมทีเดียว
..............๙. ถั่ว "ถั่ว" ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียวค่ะ ดังนั้น คนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคุณค่ะ ที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ใครที่อยากทานอาหารสุขภาพราคาประหยัดต้องไม่พลาดถั่วค่ะ
..............๑๐. ธัญพืชมื้อเช้าที่เร่งรีบ ถ้าคุณไม่มีเวลาในการเข้าครัวเพื่อทำกับข้าว การมี "ธัญพืช" พวกข้าวโพด , ลูกเดือย , งา ,ข่าวฟ่าง , เมล็ดทานตะวัน , จมูกข้าว, รำข้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อยทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์
..............อาหารสุขภาพทั้ง ๑๐ อย่าง คือ น้ำเปล่า , ผัก , ไข่ไก่ , นม , เนื้อปลา , ผลไม้รสเปรี้ยว ,โยเกิต , แอปเปิ้ล ถั่ว , ธัญพืช นั้นมีประโยชน์แก่ทุกคน หากคุณมีไว้ติดตู้เย็นและสามารถทานได้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้สุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง รูปร่างสมส่วนสวยสมวัย มีสุขภาพกายและจิตที่ดี ต่อสู้ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าในปัจจุบันได้อย่างเข้มแข็งไม่ ย่อท้อ ดังคำที่ว่า “ จิตใจที่เข้มแข็ง อยู่ในร่างกายที่แข็งแรง ”
.........................................ที่มา : http://guru.google.co.th................................

โดย วนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

๑๐ วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

............ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
............๑. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
............๒. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
............๓. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ ๒ ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
............๔. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
............๕. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ ๖. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง ๑ ใน ๓ เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
............๗. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ ๑ ถึง ๓ แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง ๓๐%
............๘. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
............๙. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า ๓ และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
............๑๐. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก ๒ ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

โดย เครือวัลย์ ธรรมายอดดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความเชื่อ…….ประเพณีฟ้อนผี

............ประเพณีการฟ้อนผีปู่ย่า หรืออีกนัยหนึ่งคือการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ โดยมีดนตรีมาประโคมให้ผีหรือเจ้าได้ฟ้อนรำของชาวลำปาง ซึ่งมีทั้งผีมด ผีเม็ง โดยมีช่วงเวลาในการประกอบพิธีกรรมตั้งแต่เดือน ๕ เหนือ (เดือน ๓) หรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงย่าง เข้าฤดูฝนนั้น เป็นศาสนาเชื่อของชาวลำปางอย่างหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตน นอกจากจะเป็นประเพณีที่แปลกแล้วพิธีกรรมความเชื่อแบบนี้ สามารถกล่าวได้ว่า มีแพร่หลายชุกชุมจนนับเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวลำปางก็ว่าได้ ยังไม่ทราบว่า ประเพณีฟ้อนผีมีความเป็นมาตั้งแต่ยุคใด สันนิษฐานจากพฤติกรรมตลอดจนพิธีกรรมอันเป็นภาพรวมของประเพณี นี้แล้ว พอเป็นเค้าได้ว่า เป็นประเพณีที่มาจากศาสนาความเชื่อแบบดั้งเดิม ก่อนที่พุทธศาสนาจะเผยแพร่เข้ามาในดินแดนในแถบนี้ การนับถือผีปู่ย่าหรือการฟ้อนผีปู่ย่าที่เมืองลำปาง มีด้วยกันสองชนิด คือ ผีมด และผีเม็งมีบางตระกูลที่มีผู้นับถือต่างกันมาแต่งงาน ร่วมตระกูลหรือวงศ์นี้ ผีมดซอนเม็ง การนับถือผีปู่ย่าทุกประเภทต่างมีโครงสร้างของการแบ่งหน้าที่ภายในตระกูลหรือวงศ์ จำแนกได้ ดังนี้
............๑. ม้าขี่ บางครั้งเรียกว่า “ที่นั่ง” หมายถึงผู้ทำหน้าที่เป็นคนทรงนั้นเอง ส่วนมาก “ม้าขี่” จะเป็นเพศหญิง
............๒. ควาญ คือผู้มีหน้าที่ปรนนิบัติเจ้าปู่เจ้าย่า มีหน้าที่ช่วยกันแต่งองศ์ทรงเครื่อง จัดหาน้ำดื่ม น้ำมะพร้าว สุรา หรือเครื่องดื่ม หมาก เมี่ยง บุหรี่ ฯลฯ ตามแต่เจ้าจะเรียกหา เวลาเจ้าจะไปงานฟ้อนที่ผามอื่นๆ ควาญก็จะคอยติดตามทำหน้าที่หิ้วข้าวของเครื่องใช้ เช่น เครื่องแต่งกาย ถุงย่าม กระเป๋าถือ ร่วมยา ฯลฯ
............๓. กำลัง หมายถึงพลังของวงค์ตระกูลที่มีอยู่ในรูปของ กำลังกายหรือแรงงานจากผู้คน และกำลังทรัพย์ที่สามารถระดมได้จากตระกูล นั่นเอง คำว่า “กำลัง” มักใช้กับบรรดาลูกหลานเพศชาย ซึ่งทำหน้าที่ต่างๆ เป็นต้นว่า ปลูกสร้างผาม แบกขนอุปกรณ์ ประกอบอาหาร ยกสำหรับ ตักน้ำ ผ่าฟืน ฯลฯ
............๔. ผีหรือเจ้ารับเชิญ ส่วนมากจะเป็นผีหรือเจ้าที่เคยฟ้อนร่วมผามกันมานาน หรืออาจสนิทชิดเชื้อกัน หรืออาจเป็นด้วยความคุ้นเคย กันของญาติพี่น้อง ซึ่งเรียกกันว่า “เติง (ถึง) กัน” ดังนั้นการฟ้อนผีในผามหนึ่งๆ นั้น จึงมีเจ้าปู่เจ้าย่าจากผามอื่นหรือตระกูลอื่นที่ “เติงกัน” มาเป็นแขกรับเชิญในงานเลี้ยงที่ลูกหลานเจ้าภาพจัดเลี้ยง เรียกกันทั่วไปว่า “มาม่วน ” กันไม่น้อยกว่า ๒๐ คนขึ้นไป
............ความเคร่งครัดในกฎเกณฑ์หรือการมีข้อห้ามต่างๆ ตลอดจนมีระเบียบในการใช้เพลงหรือดนตรีประกอบพิธีกรรมที่มีความลงตัว จนดัดแปลงไม่ได้ เหล่านี้คือกรอบที่ป้องกันประเพณีนี้มิให้แผกเพี้ยนออกไป พิธีกรรมบางอย่างที่แสดงถึงความเก่าแก่ดั้งเดิม ของการมี ความเชื่อในเรื่องอำนาจของสิ่งเหนือธรรมชาติที่มนุษย์ต้องเคารพ กราบไหว้ ขอพึ่งพา บรรยากาศของพิธีกรรมบางขั้นตอนจึงแฝงด้วย ความลึกลับน่ากลัวมีความดิบปะปนเข้ามา และมีความสนุกม่วนกันทั้งผีและคนปะปนอยู่ในพิธีกรรม
............๑. ในการสร้างผามต้องระมัดระวังในการผูกโครงหลังคา เรียงหัวไม้ท้ายไม้ให้ไปในทางเดียวกัน
............๒. การประกอบอาหารสำหรับเลี้ยงผี ห้ามหยิบเครื่องปรุงต่างๆ มากิน แม้แต่ การปรุงรสก็ห้ามชิม
............๓. ต้องแสดงถึงความเป็นผู้มีสัมมาคารวะ ต่อเจ้าปู่ย่าทั้งหลาย แม้ในความเป็นจริงของโลกมนุษย์ “ม้าขี่” ที่เป็นร่างทรงของ เจ้าปู่ย่าอาจเป็น ภรรยา พี่ น้อง ลูกหลาน หรือเพื่อนก็ตาม ห้ามทำเล่นหัวล้อเล่น หรือแสดงกิริยาไม่เป็นการเคารพ
............๔. บุคคลภายนอกเมื่อต้องการเข้าไปชม ควรขอนุญาตเจ้าของงานหรือ ญาติพี่น้องเสียก่อน
............๕. อุปกรณ์เครื่องใช้ในการสร้างผามเมื่อนำมาปลูกสร้างแล้ว จะเป็นของเจ้าปู่ย่า หากต้องการนำมาใช้เพื่อสร้างผามอีก หรือต้องการเอาไปทำประโยชน์ ต้องขออนุญาตเจ้าปู่ย่าเสียก่อน
บทบาทของความเชื่อผีปู่ย่าในระดับสังคมส่วนรวม
............๑. ก่อให้เกิดการหลอมรวมทางเผ่าพันธุ์ของผู้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยการมีความคิดในการยกย่อง ให้เกียรติและเห็นคุณค่า ต่อผู้ที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในตระกูลหรือวงศ์ของตน เจ้าปู่ย่าจะมีความยินดีและชื่นชมในลูกสะใภ้และลูกเขยเป็นพิเศษ แม้จะต่างเผ่าพันธุ์ กันก็ตาม ทั้งนี้โดยมีความเชื่อว่า สะใภ้หรือฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแพร่พันธุ์และเป็นฝ่ายสืบทอดประเพณีสำหรับเขยที่เข้ามา ก็เท่ากับเป็นการเพิ่ม “กำลัง” ให้วงศ์ตระกูลได้แข็งแกร่งขึ้น หากมองในด้านการเมือง การปกครองแล้ว นับว่าเป็นการหลอมรวมเผ่าพันธุ์ที่ดีอย่างหนึ่ง
............นอกจานี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการซื้อผี หรือซื้อเข้าผี เช่น กลุ่มชนบางกลุ่มหรือบางตระกูล เมื่อเกิดศรัทธาเลื่อมใสผีปู่ย่าผามใด ผามหนึ่ง ก็ขอซื้อ (ยกขันหรือบูชาครู) เพื่อขอเข้ามานับถือผีปู่ย่าด้วย พิจารณาอีกนัยหนึ่งก็คือการขอเข้ามาร่วมอยู่ในเผ่าพันธุ์หรือสังคมนั่งเอง สภาพบ้านเมืองในสมัยโบราณนั้น การยอมให้คนอีกกลุ่มหนึ่งหรือเผ่าพันธุ์อื่นมาร่วมผีเดียวกับตน จึงเป็น นโยบายทางการเมืองในการ เพิ่มกำลังผู้คนที่ลึกซึ้งยิ่งอย่างหนึ่ง
............๒. การมีส่วนทำให้สังคมเป็นเอกภาพ นอกจากภาพรวมที่ประเพณีฟ้อนผีได้หลอมรวมผู้คนให้เป็นพวกเดียวกัน นับถือผีเดียวกันแล้ว ยังเป็นประเพณีที่ส่งเสริมให้ผู้คนมาร่วมแรง ร่วมใจทำงานร่วมกัน ก่อให้เกิดความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งของงาน มีความปลาบปลื้ม และภาคภูมิใจในความสำเร็จร่วมกัน ได้มาสังสรรค์ สนุกสนานร่วมกัน ประการสำคัญคือเป็นการสร้างความรู้สึกว่านับถือผีเดียวกัน หรือที่เรียกกันว่า “เป็นผีเดียวกัน” ซึ่งเป็นผลส่งให้ เกิดความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นในวงศ์ตระกูลหรือชุมชน
............๓. เป็นศูนย์กลางของที่พึ่งทางใจ เป็นความหวังและความอบอุ่นอีกอย่างหนึ่งที่สามารถขอพึ่งพาเจ้าปู่ย่าได้ เช่นการทำนายทายทัก การเสกเป่า รดน้ำมนต์ ต่างๆ
............๔. บทบาทความเชื่อผีปู่ย่าในการอนุรักษ์วัฒนธรรมทางดนตรี การฟ้อนผีมด ผีเม็ง ที่เคร่งในขนบประเพณีนั้น จะห้ามใช้ดนตรี ต่างวัฒนธรรมเข้ามาบรรเลงในผาม แม้แต่วงป้าด ก็จะต้องใช้แบบแผนการบรรเลงแบบลำปาง หากเล่นผิดแบบแผน เช่น สำเนียงและสำนวน ดนตรี ผิดจากที่คุ้นเคย ผีจะไม่เข้าหรือไม่สามารถทำการทรงได้ หรือทรงได้แล้ว อาจฟ้อนไม่ได้เป็นต้น
............ด้วยเหตุผลดังกล่าว ดนตรีประกอบการฟ้อนผีในเมืองลำปาง จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะเปลี่ยนแปลงขนบประเพณี หรือแบบแผนในการ ดนตรีให้แปลกออกไปจากเดิม ดนตรีปี่พาทย์หรือวงป้าดเมืองลำปาง จึงมีรายละเอียดหลายอย่างที่แสดงถึงความเป็นดนตรีแบบโบราณไว้ได้

ที่มา : kanchanapisek.or.th
ภาพประกอบจาก internet

โดย รัตนา เกิดเวียงใหม่ หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รับประทานน้ำพริกให้ถูกกับธาตุเจ้าเรือน

..............ธาตุเจ้าเรือนคืออะไร ตามทฤษฎีการแพทย์ไทย กล่าวว่า คนเราเกิดมาในร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งในแต่ละคนจะมีธาตุหลักเป็น ธาตุประจำตัว เรียกว่า“ธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งธาตุเจ้าเรือนนี้ มี ๒ ลักษณะ คือ ธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งจะเป็นไปตาม วัน เดือน ปีเกิด และธาตุเจ้าเรือนปัจจุบันที่พิจารณาจากบุคลิกลักษณะ อุปนิสัยและภาวะด้านสุขภาพ กายและใจ ว่าสอดคล้องกับลักษณะของบุคคลธาตุเจ้าเรือนอะไรเมื่อธาตุทั้งสี่ในร่างกายสมดุล บุคคลจะไม่ค่อยเจ็บป่วย หากขาดความสมดุลมักจะเกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากจุดอ่อนด้านสุขภาพของแต่ละคนตามเรือนธาตุที่ขาดความสมดุล
..............ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นสิ่งที่สามารถช่วยได้ระดับหนึ่งในเบื้องต้นคือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของแต่ละคนในชีวิตประจำวัน โดยในรสของอาหารคุณลักษณะที่เป็นยา มาปรับสมดุลของร่างกายเพื่อป้องกันความเจ็บป่วย น้ำพริก เป็นอาหารไทนประเภทเครื่องจิ้ม ชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่ใช้รับประทานคู่กับผักที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ พริกที่ต้องตำละเอียด มีอยู่หลายอย่างเรียกตามส่วนประกอบที่ใส่ลงไป
..............ธาตุดิน คือผู้ที่เกิดในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ควรรับประทานอาหารที่มีรสฝาด ช่วยสมานปิดธาตุ แต่อย่ารับประทานมากเกินไป จะฝืดคอและท้องอืด ส่วนรสหวานและรสมันจะช่วยบำรุงกำลัง แก้เส้นเอ็นพิการ ปวด เสียว ขัดยอก แต่ถ้ามากเกินไปขอแนะนำว่าอย่าขับรถเพราะจะทำให้ง่วงนอน น้ำพริกที่เหมาะกับคนธาตุนี้ หลนเต้าเจี้ยว น้ำพริกปลากุเลา น้ำพริกมะดัน น้ำพริกขี้กา ที่สำคัญคือเน้นรสหวานเพื่อรับประทานกับผักเครื่องเคียงอย่าง หัวปลี ยอดกระถิน ใบบัวบก ผักหวานบ้าน ฟักทอง หรือใครมีสูตรเด็ดของตัวเองก็เชิญนำมากินกับได้
..............ธาตุน้ำ คือผู้ที่เกิดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน อาหารรสเปรี้ยวจะถูกกับธาตุเจ้าเรือน เพราะช่วยแก้อาการเสมหะเป็นพิษและช่วยให้เจริญอาหาร ผลจากการรับประทานมากคือท้องอืด ร้อนใน น้ำพริกที่เหมาะกับคนธาตุนี้ น้ำพริกมะขาม น้ำพริกปลาดุกฟู น้ำพริกไข่เค็ม หรือน้ำพริกนรกก็ได้ แล้วตามด้วยผักเครื่องเคียงยอดฮิตอย่างยอดมะขามอ่อน ยอดมะกอก ผักแต้ว มะเขือเทศ ซึ่งช่วยในการบำรุงผิวพรรณไปในตัว
..............ธาตุลม คือผู้ที่เกิดในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายนควรรับประทานรสเผ็ดร้อน ช่วยแก้อาการจุกเสียด ปวดท้อง หากมากเกินปริมาณอาจเกิดอาการอ่อนเพลีย น้ำพริกที่เหมาะกับคนธาตุนี้ น้ำพริกกุ้งเสียบ น้ำพริกปลาสลิด น้ำพริกลงเรือ รับประทานพร้อมกับใบชะพลู ขมิ้นขาว สะระแหน่ กระชาย ขิง ตะไคร้ คงถูกลิ้น ไม่น้อยเลยทีเดียว
..............ธาตุไฟ คือผู้ที่เกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม จะมีลักษณะเป็นคนขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยได้ อาหารรสเย็นจะช่วยแก้ร้อนใน ดับพิษร้อน และแก้ไข้ได้ ส่วนรสขมจะช่วยแก้โลหิตเป็นพิษและดีพิการ น้ำพริกที่เหมาะกับคนธาตุนี้ น้ำพำริกปูหลน น้ำพริกปลาร้า รับประทานพร้อมกับผักรสขมอย่าง ชะอม
ที่มา : สถาบันการแพทย์ไทย

โดย อุดม อนุพันธิกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

กลุ่มยาขับปัสสาวะ……..หญ้าหนวดแมว

ชื่อ หญ้าหนวดแมว หรือบางรักป่า พยับเมฆ อีตู่ดง

ลักษณะ พืชล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นกิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวเรียงตรง แผ่นใบรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ขอบใบหยัก แผ่นใบสี่เขียวเข้ม ดอกช่อ ออกตรงปลายยอด มี ๒ พันธุ์ ชนิดดอกสีขาวอมม่วงอ่อนกับพันธุ์ดอกสีฟ้า เกสรเพศผู้เป็นเส้นยาวยื่นออกมานอกกลีบดอก ผลเป็นผลแห้งไม่แตก

ส่วนที่ใช้ .....ราก ทั้งต้น ใบและต้นขนาดกลางไม่แก่ไม่อ่อนจนเกินไป

สรรพคุณ......ราก ใช้ขับปัสสาวะ

....................ทั้งต้น แก้โรคไต ขับปัสสาวะ รักษาโรคกระษัย รักษาโรคปวดตามสันหลัง และบั้นเอว รักษาโรคนิ่วรักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ

....................ใบ รักษาโรคไต รักษาโรคปวดข้อ ปวดหลัง ไขข้ออักเสบ ลดความดันโลหิต รักษาโรคเบาหวานลดน้ำขับกรดยูริคแอซิก

วิธีใช้
....................๑. ใช้กิ่งกับใบหญ้าหนวดแมว ขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป ล้างสะอาด นำมาผึ่งในที่ร่มให้แห้ง นำมา ๔ กรับ หรือชงกับน้ำเดือด ๑ ขวดน้ำเปล่า เหมือนกับชงชา ดื่มต่างน้ำตลอดวัน รับประทานนาน ๑ – ๖ เดือน
....................๒. ใช้ต้นกับใบวันละ ๑ กอบมือ ต้มกับน้ำรับประทาน ครั้งละ ๑ ถ้วยชา ก่อนอาหาร

ข้อควรระวัง คนที่เป็นโรคหัวใจ ไต ห้ามรับประทาน เพราะมีสารโบตัสเซียมสูงมาก ถ้าไตไม่ปกติ จะไม่สามารถ ขับโปแตสเซียมออก ทำให้เกิดโทษต่อร่างกายอย่างร้ายแรง

โดย อาริยา ยิ้มแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

สมุนไพรในบ้าน

สมุนไพร มักมีสรรพคุณในตัวเองมีผลต่อการรักษาโรค ป้องกันโรคบางอย่างได้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ นับเป็นส่วนดีของสมุนไพรเมื่อนำเอามาปรุงแต่งผสมผสานอาหารทำให้กลมกล่อมอร่อย บางชนิด ยังมีสรรพคุณทางยาจากธรรมชาติ หาง่าย สะดวกในการนำมาใช้ และนิยมปลูกกันไว้ในครัวเรือน

  • สรรพคุณของสมุนไพร
    กระชาย ทำให้สดชื่น แก้โรคหัวใจ ใจสั่น แก้โรคปากอักเสบ แก้ริดสีดวงทวาร
    ใบมะกรูด ขับลมในกระเพาะอาหาร ขับระดู
    ขมิ้น แก้ไข้ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้โรคผิวหนัง
    ใบสะระแหน่ แก้โรคลักปิดลักเปิด บำรุงสายตา ให้แจ่มใสอยู่เสมอ
    ใบโหระพา ช่วยขับลม ช่วยย่อย แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับถ่ายสะดวก
    พริกชี้ฟ้าแดงเขียว แก้หวัด บำรุงสายตา
    ตะไคร้ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร แก้คาว
    ข่า ขับลม แก้อาการท้องอืด
    มะเขือพวง บำรุงสายตา แก้โลหิตจาง บำรุงกระดูก
    ขมิ้นขาว บำรุงเลือด แก้อาการหวัด
    ยอดชะอม แก้อาการจุกเสียด ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    ใบกะเพรา แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เพิ่มน้ำนมในสตรีหลังคลอด
    มะกรูด ขับลม ขับระดู
    ใบยี่หร่าสด บำรุงเลือด
    มะระขี้นก บำรุงน้ำดี ขับพยาธิ แก้ไข้ แก้ลม ดับร้อน
    พริกขี้หนู แก้อาการหวัด บำรุงสายตา
    ใบย่านาง บำรุงสายตา แก้อาการหวัด บำรุงผิวพรรณ บำรุงกระดูก แก้โรคลักปิดลักเปิด
    หอมแดง แก้ไข้ ลดความร้อน
    กระเทียม ขับลม แก้ไอ ช่วยย่อย ขับเสมหะ แก้จุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    ใบมะขามอ่อน แก้ไอ แก้หวัด ขับลม แก้บิด
    ยอดฟักทอง บำรุงสายตา ทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการหวัด
    ยอดตำลึง ผิวพรรณดี แก้อาการหวัด บำรุงสายตา
    ใบแมงลัก แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม บำรุงสายตา บำรุงกระดูก บำรุงเลือด

ชีวิตมีความสุข เพราะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน การกินการอยู่ เป็นเรื่องสำคัญในการดำรงชีวิต อาหารไทย มีชื่อเสียง มีคุณค่าทางโภชนาการ เมื่อนำสมุนไพรมาปรุงแต่งเป็นอาหาร และยังมี
สรรพคุณทางยาปลอดสารพิษ ไม่มีพิษภัยเมื่อนำมาบริโภค อาหารไทยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยตลอดมา

แหล่งข้อมูล : ยุวดี จอมพิทักษ์.สุดยอดอาหารสูตรสมุนไพร.กรุงเทพฯ:ร.พ.รุ่งแสงการพิมพ์,๒๕๔๖.

โดย นางน้ำทิพย์ มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พิธีส่งเคราะห์และกำส่งเคราะห์

.............สิทธิการิยะ ปุคละญิงจายฝูงใดมักถูกถ้อยใส่ความ อันบ่ดีบ่งามจี้ใส่หื้อได้เป๋นโต๊ษ เสี้ยงเบี้ยเสียของมักมีอุบัติเหตุเภทภัยกับต๋นเองและครอบครัวอยู่เนือง ๆ หรือแม่นจักก๊าขายรายล่องก็มักจะขาดทุนอยู่ร่ำไป จักกระตำอันใดก็มักจะประสบแต่ความล้มเหล็ว ไม่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเลย หรือบางทีก็เป๋นพยาธิโรคา นานัปประก๋าร หาหมอมาหลายคนกิ๋นยามาหลายป้าก หลายบ้านหลายเมืองก็บ่แควนเสี้ยง สิ่งอันเล็วร้ายตังหลายเหล่านี้ป๊อยมีกับปุคละผู้ใดโบราณจ๋ารย์กล่าวไว้ว่าเป๋นเคราะห์ การส่งหื้อออกไปเสียจิ่งจักป๊นจะแลฯ กันจักส่งเคราะห์นั้นหื้อมีขันตั้งดั่งนี้คือ
.............หื้อมี ข้าวตอกดอกไม้ ผ้าขาวผ้าแดง เตียนเล่มบาท ๑ เล่ม เล่มเฟื้อง ๘ เล่ม สวยหมากสวยปู ข้าวเปลือกหมื่น (๑๐ ลิตร) ข้าวสารปัน (๑ ลิตร) ใส่ลูกส้ม ของหวานป๊าวต๋าลกล้วยอ้อย ปัจจั๋ยหื้อใส่ดั่งนี้กันเป็นต๊าวเจ้า เป๋นขุนเป๋นพระยาหื้อใส่ ๑๐๐ แถบ กันเป๋นไพร่น้อยหื้อใส่ ๓๐ แถบ ปัจจุบันหื้อเอาเหรียญแทนก็ได้ แล้วหื้อมีด้ายสายสิญจน์ น้ำส้มป่อย แป๋งสะตวงกว้างศอก ของทุกอย่างเอาใส่ในสะตวง แล้วเอาด้ายสายสิญจน์โยงมาหาหื้อผู้มีเคราะห์ถือไว้แล้วจุดธูปเทียน อาจ๋ารย์หรือผู้ทำพิธีกล่าวกำส่งเคราะห์ว่าดังนี้
กำส่งเคราะห์
.............สรี๋สิทธิสวัสดี อัชจะโส อัชจะโย อัชจะในวันนี้ก็เป๋นวันดี สรี๋ศุภะมังคละอันผาเสริฐ ล้ำเลิศยิ่งกว่าวันและยามตังหลาย วันเม็งก็หมดใส วันไตยก็หมดปลอด เป๋นวันยอดแห่งพญาวัน บัดนี้หมายมี นาย-นาง..........(ออกจื่อ) ก็ได้ต้องทะรงยังเคราะห์ถ่อยจ๊า ผู้ข้าก็จักปัดไป่ไล่หื้อออกจาก ได้ค้ายพรากไปในวันนี้ยามนี้แต๊ดีหลี เคราะห์อันบ่ดีแต่ก่อนป๋างหลัง เคราะห์เมื่อยังแรกเกิด เคราะห์อันบ่ผาเสริฐมวลมี เคราะห์สิบสองราศีเกี้ยวกอด ลักขณาสอดเกาะกุ๋ม อาติจย์ซ้ำมาสุมแก่นกล้า พระจั๋นทร์ส่องหล้าสวักสวาด ถ้วนสามอังคารรังหยาดเลิศแล้ว ถ้วนสี่พุทธผ่องแผ้วใสงาม พัสถ้วนห้าต๋ามแถมเล่า สุโขถ้วนหกบ่เส้าดวงใสโสรี ถ้วนเจ็ดรัศมีไวหลายส่ำ สัพพะเคราะห์พร้อมพร่ำนานา
............อันมีในก๋ายาแห่งเจ้า นวฆาตตังเก๊ามงลมีตังนักขัตฤกษ์สลี ๒๗ ตั๋วนับหมาย แม่นว่าเคราะห์ตังหลายมาพร้อมอยู่แล้ว จุ่งหื้อได้กลาดแกล๊วหนีเสียไกล๋ ถือเคราะห์จั๋งไรถ่อยจ๊า เคราะห์ ๑๓ นาม ๑๕ ก็หื้อหนี ตังเคราะห์ปี๋ เคราะห์เดือน เคราะห์วัน เคราะห์ยาม เคราะห์บ่ดีบ่งามจี้ใส่ เคราะห์น้อยเคราะห์ใหญ่มวลมี เคราะห์ก๋าลีเมื่อหลับเมื่อตื่น เคราะห์เมื่อยืน เมื่อเตียว เคราะห์เมื่อเกี้ยวเมื่อกิ๋น เคราะห์เมื่อคืนบ่หัน เคราะห์เมื่อวันบ่รู้ เคราะห์เมื่ออู้เมื่อจ๋า เคราะห์นานาตั๋วกล้า เคราะห์ต่ำจ๊าจดเจื๋อ เคราะห์เหนือเคราะห์ใต้ เคราะห์เมื่อเจ็บเมื่อไข้ เคราะห์วันตกวันออก อยู่ด้าวขอกแดนใดก็ดี ก็หื้อค้ายหนีไปวันนี้ยามนี้ เคราะห์ดำก่ำกี้ตั๋วกล้า เคราะห์จนหน้าจนหลัง แม่นว่าเคราะห์ตั๋วใดยัง ๑๐๘ อย่างก็อย่าได้ข้องค้างอยู่ในต๋นตั๋วแห่ง
นาย-นาง..(ออกจื่อ) สักเยื่องสักประก๋าร แม่นเคราะห์ตั๋วหาญเกี้นวหน่อง ก็จุ่งหื้อได้ดับล่องไปด้วยไฟ หื้อได้ไหลไปด้วยน้ำ อย่าหื้อได้คืนมาแถมซ้ำปอสอง หื้อได้ป๋องดับหายไปบัดนี้แด่เต๊อะ หูรู หูรู สวาหาย
............เมื่อสัพพะเคราะห์ตังหลายได้ค้ายออก หื้อตกไปยังขอกฟ้าจักรวาล ไปอยู่สถานตี่แผ่นดินสุดไกล๋ และหากตั๋วใดได้กลับเป๋นป๋าปะเคราะห์แล้ว ขอจุ่งได้กลาดแกล๊วมาเป๋นโสมะ และตั๋วใดหากเป๋นโสมะแล้วก็ดี ขอจุ่งเป๋นศรีนำมายังโจคปี๋ โจคเดือน โจควัน โจคยาม อายุปี๋ อายุเดือน อายุวัน อายุยาม หื้อมีอายุหมั้นยืนยาว ร้อยซาวขวบเข้าวัสสา ได้อยู่ก้ำจูสาสะนะไปไจ้ ๆ หื้อได้สวัสดี แด่เต๊อะ แม่นจักอยู่ก็หื้อตีฆามีจัย แม่นจักไปก็หื้อมีโจคลาภ ผาบแป๊สัตรู๋ หลับต๋าก็หื้อได้เงินหมื่น ตื่นก็หื้อได้คำแสน ได้เป๋นเสธฐีเจ้าเงินเจ้าคำ เจ้าจ้างเจ้าม้า มีข้าญิงจายไปตางใดก็มีคนหูคนรัก แม่นจักผาถานาสิ่งใดก็หื้อได้สิ่งนั้นจุประก๋าร จุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลี ดั่งพระมุนีต๋นผาเสริฐอันล้ำเลิศยิ่งกว่าโลกโลก๋า
.............กล่าวเป๋นคาถาไว้ว่า สัพพะพัตถะ สัพพะตา สัพพะเคราะห์ สัพพะภัยยา สัพพะตุกขา สัพพะโรคา วินาสันตุ เตฯ ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสตถิ ภาคะยัง สุขัง พะลัง สิริ อายุ จะวัณโณ จะ โภคัง วุฑฒี จ ยะสะวา สะตะวัสสา จะ อายุ จะ ชีวะ สิทธี ภะวันตุเตฯ
............แล้วเป่าลงใส่ที่น้ำส้มป่อย เอาประพรม ผูกมือ ให้พร เสร็จแล้วให้เอาสะตวงไปส่งเสียที่ทางทิศตะวันตก ส่งสะตวงนั้นอย่าได้เหลียวหลังไปดูอีก ห้ามพูดจากันเมื่อมาถึงบ้านแล้วก็อย่าได้พูดสิ่งที่ไม่ดีควรพูดแต่สิ่งที่ดีเป็นมงคลแล

ที่มา : หนังสือของดีจากปั๊บสา

โดย วีรพันธ์ นันเพ็ญ(หนานนันท์ เวียงละกอน)

การบริหารจิตและเจริญปัญญา III

สาระสำคัญ
.................พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ เน้นเรื่องการฝึกจิตเป็นสำคัญ การบริหารจิตและเจริญปัญญาเป็นวิธีการดูแลและทำนุบำรุงจิตใจของมนุษย์ให้มีความบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสมาครอบงำให้รู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาปกรรม โดยใช้วิธีการฝึกตามหลักสติปัฏฐาน ๔ จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะดีเลิศและมีจิตมั่นคงได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเป็นพื้นฐานในการเจริญปัญญา เพราะจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีการพูด การคิด และการกระทำที่ถูกต้อง โดยอาศัยวิธีการคิดแบบโยนิโสมนสิการ เพื่อที่จิตและปัญญาของมนุษย์จะได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้น มีการเรียนรู้ได้รวดเร็วและถูกต้อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของตนและสังคม
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
.................การบริหารจิต หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตให้เจริญและประณีตยิ่งขึ้น มีความปลอดโปร่ง มีความหนักแน่นมั่นคง โดยเริ่มจากการฝึกฝนจิตให้เกิดสติและฝึกสมาธิให้เกิดขึ้นในจิต ในการที่จะให้จิตมีสติได้นั้น ผู้ฝึกต้องมีวิธีการดังนี้คือ การตั้งใจให้มีสติปสัมปชัญญะอยู่เสมอ การคบกับคนผู้มีสติปัญญามั่นคง การไม่คบคนที่มีจิตใจฟุ้งซ่านปั่นป่วนและการมีใจน้อมไปในการมีสติคืออยากจะมีสติมั่นคง กล่าวคือ
................๑. การตั้งใจให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ คือ ผู้ฝึกจะต้องตั้งใจกำหนดรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องใคร่ครวญทำช้าๆ อย่ารวดเร็วเกินไป เช่น ในขณะเดิน ยืน นั่ง นอน จะต้องพยายามให้ตัวสติระลึกอยู่ตลอดเวลาทุกๆ อิริยาบถและมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวอยู่เสมอ เมื่อตั้งใจปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวก็จะทำให้ผู้นั้นมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
................๒. การคบกับคนผู้มีสติปัญญามั่นคง คือ พยายามเข้าสมาคมกับคนผู้มีสติปัญญามั่นคงด้วยการทำ การพุด และการแสดงออกอื่นๆ ยกตัวอย่าง เช่น การเข้าไปพบปะสนทนากับพระสงฆ์ผู้ฝึกสมาธิมาดีแล้ว โดยพิจารณาจากการพูดและการกระทำ ท่านจะอยู่ในลักษณะสำรวมระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เราผู้เข้าร่วมสมาคมด้วยเกิดการตั้งสติและมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวสำรวมระมัดระวังตัวเช่นเดียวกับท่าน
................๓. การไม่คบคนที่มีจิตใจฟุ้งซ่านปั่นป่วย คือ คนใดที่มีสติฟั่นเฟือน หลงๆ ลืมๆ ซึ่งมีการกระทำการพูดผิดๆ ถูกๆ อยู่ตลอดนั้น เราไม่ควรจะไปคบด้วย เพราะการสมาคมกับคนประเภทนี้บ่อยๆ เข้าบางทีจะทำให้เราติดโรคสติฟั่นเฟือนได้ เว้นได้แต่เข้าไปคบด้วยความสงสาร เพื่อจะแนะนำเขาในบางครั้งบางคราวเท่านั้น
...............๔. การมีใจน้อมไปในการมีสติ คืออยากเป็นคนมีสติมั่นคง โดยตัวเราเองต้องพยายามขวนขวายปลุกใจให้เห็นคุณค่าในการมีสติสัมปชัญญะแล้วปฏิบัติธรรมเพื่อนำจิตของตนให้เป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิในขั้นต้น แม้เพียงขณิกสมาธิอันเป็นสมาธิชั่วขณะที่เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไปในการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวัน เท่านี้ก็จะทำให้เราเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะดีขึ้นอย่างแน่นอน
...............นอกจากนี้แล้วพระพุทธเจ้ายังได้ทรงแสดงวิธีการฝึกสติให้สมบูรณ์ไว้ในสติปัฏฐาน ๔ อย่าง กล่าวคือ การดำรงสติไว้ที่ฐานมี ๔ อย่าง ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม และกำหนดพิจารณาฐานทั้ง ๔ เหล่านั้น เช่น กายานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ เวทนานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาเป็นอารมณ์ จิตตานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณาจิตเป็นอารมณ์ และธัมมานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมเป็นอารมณ์

โดย หัทยา ตันป่าเหียง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

แนะนำเกมใหม่

.............ปัจจุบันเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์และระบบอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เกมคอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของเด็กและเยาวชนไทยเป็นอย่างมาก รูปแบบของเกมคอมพิวเตอร์ได้เข้าแพร่หลายไปสู่เด็กและเยาวชนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเกมที่ไม่สร้างสรรค์ ขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมการศาสนาเห็นถึงผลจากการที่เด็กและยาวชนได้เล่นเกมที่ไม่สร้างสรรค์เหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ขัดต่อศีลธรรม วัฒนธรรมอันดีงาม จึงร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ในการจัดเผยแพร่เกมคุณธรรม ๒ (Ethic Game) สู่เด็กและเยาวชน เพื่อลดช่องว่างของเกมที่ไม่สร้างสรรค์และไม่พึงประสงค์ และเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งให้กับเด็กและเยาวชน โดยดำเนินการจัดหา เกม ต้าน เกม (Game Anti Game) ภายใต้ชื่อว่าเกมคุณธรรม (Ethic Game)
..............เกมคุณธรรม เป็นเกมในเชิงสร้างสรรค์ สอดแทรกเนื้อหา หลักคำสอน ที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เด็กและเยาวชนมีคุณธรรมจริยธรรม และได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก อีกทั้งได้รับเสียงเรียกร้องจากผู้ปกครองเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก จึงทำให้กรมการศาสนาได้พัฒนาเกมคุณธรรมสู่ เวอร์ชั่น ๒ แล้วภายใต้ชื่อว่า เกมคุณธรรม ๒ (Ethic Game) โดยให้ทางบริษัทเอเชียซอฟท์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ทำการเผยแพร่โปรแกรมเกมส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมไปยังร้านสมาชิก@Cafe ทั่วประเทศ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับเกมนี้ผ่านหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ของบริษัทด้วย นอกจากนี้ผู้ปกครองท่านใดสนใจจะนำเกมนี้ไปให้เด็กและเยาวชนเล่นทื่บ้านสามารถ ดาวน์โหลดเกมคุณธรรม ๒ (Ethic Game)ได้ที่ เว็บไซด์ของกรมการศาสนา http://www.dra.go.th/games
โดย มันทนา กันสิทธิ์ ผอ.กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนงาน

วิถีช้าง วิถีควาญ วิถีธรรมชาติ

...................วิถีแห่งการเรียนรู้ สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เริ่มจาก ปี ๒๕๕๑ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ได้จัดตั้ง “ศูนย์ฝึกลูกช้าง” ขึ้นที่บ้านปางหละ อำเภองาว จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกลูกช้างแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก
..................ปลายปี ๒๕๓๔ ย้ายศูนย์ฝึกลูกช้างมาจัดตั้งเป็น “ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย” ช่วง หลัก กม. ที่ ๒๘ -๒๙ ถนนลำปาง – เชียงใหม่ ตำบลเวียงตาล อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปะและเอกลักษณ์การทำไม้ด้วยช้างของไทย และ ยังจะเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล และความรู้เกี่ยวกับช้างเพื่อการศึกษา ค้นคว้า หรือทำงานวิจัยตลอดจนเพื่อการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยได้ก่อตั้ง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุ ๓๖ พรรษา และพระองค์ท่าน ได้ทรงเสด็จเปิดศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
...................เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ สมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ได้เสด็จเยี่ยมช้างพังพระธิดาและพังวนาลีที่พระองค์ทรงรับไว้ในพระอุปถัมภ์องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้กราบทูลถวายรายงานที่จะยกฐานะของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยขึ้นเป็น สถาบันคชบาลแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายขอบเขตการอนุรักษ์ – บริบาลช้างไทยให้ครอบคลุมทุกแง่มุมในการช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดกับช้าง โดยจะได้จัดตั้งสถาบันการศึกษาพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดแนวทางการอนุรักษ์ช้างอย่างยั่งยืน
...................จากนั้นเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เลขานุการในพระองค์ ได้มีหนังสือแจ้งให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับสถาบัน คชบาลแห่งชาติไว้ในพระอุปถัมภ์ ซึ่งนับว่าเป็นสิริมงคล ให้เจริญวัฒนาต่อไป

ภาพประกอบ : จาก internet

โดย นงนุช ป่าเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การตานขันข้าว

การตานขันข้าว เป็นประเพณีหนึ่งของคนในภาคเหนือที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน การตานขันข้าวคือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว หรืออาจจะเป็นการทำบุญให้ตนเองเพื่อเป็นการสะสมบุญในชาติหน้าก็ได้ การตานขันข้าวเป็นการถวายภัตตาหาร หรือถวายสิ่งของเครื่องใช้อื่น ๆ ร่วมด้วยก็ได้ ส่วนใหญ่นิยมทำกันในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาฬาหบูชา วันเข้าพรรษา วันสงกรานต์ วันคล้ายวันเกิด ซึ่งในวันดังกล่าวชาวบ้านจะนำภัตตาหาร ไปถวายพระที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อ แม่ ญาติพี่ ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือเจ้ากรรมนายเวร ชาวบ้านเชื่อว่าการตานขันข้าวเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย จะช่วยให้วิญญาณของผู้ตายมีอาหารกิน และมีสิ่งของเครื่องใช้ไม่อดอยาก หรือเป็นการทำบุญล่วงหน้าให้กับตนเองในชาติหน้า เพื่อให้มีกิน มีใช้ มีความเป็นอยู่สุขสบายในชาติหน้า
..............สำหรับสิ่งของที่เราจะนำไปใส่ในขันข้าวนั้น ถ้าอุทิศไปให้พ่อ แม่ ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว ๓ คน เราก็จัดแบ่งอาหารออกเป็น ๓ ส่วน นอกจากนี้ ต้องเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน ขวดน้ำสำหรับกรวดน้ำ เขียนชื่อของ พ่อ แม่ ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วให้พระสงฆ์อ่าน เพื่อให้คนที่เราอุทิศส่วนบุญกุศลได้รับส่วนบุญกุศลในครั้งนี้ ข้าว ๑ สำรับ สำหรับคนที่เราอุทิศไปให้ ๑ คน โดยเราจะนำขันข้าวที่เตรียมไว้ไปถวายพระสงฆ์ในตอนเช้าก่อนพระฉันท์ภัตตาหาร หลังจากพระสงฆ์ รับประเคนขันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้ศีลให้พรอุทิศส่วนกุศลแล้วเราก็จะกรวดน้ำเป็นอันเสร็จพิธี
.............การตานขันข้าวในปัจจุบันนี้ มีความแตกต่างไปจากอดีต ชาวบ้านไม่น้ำยมที่จะแบ่งอาหารออกเป็นส่วน ๆ แต่จะนำใส่ภาชนะที่มิดชิด เช่น ปิ่นโต ไปถวายพระสงฆ์ เนื่องจากทำให้มีความสะดวก ซึ่งการตานขันข้าวนั้นถือว่าเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวภาคเหนือที่ทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อ แม่ ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว และจะเป็นการที่ทำให้พระสงฆ์ได้มีสิ่งของสำหรับอุปโภคและบริโภค ถือว่าช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป ดังนั้น เราควรอนุรักษ์รักษาประเพณีการตานขันข้าวให้สืบทอดต่อไปเพื่อไม่ให้สูญหาย


โดย จิราพร มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

“ขึด”

“ขึด” หลายท่านที่เป็นคนเมืองคงจะเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่มักว่าลูกหลาน ไม่ให้กระทำการใดการหนึ่งว่า บ่ดีเยียะมันขึด “ขึด” คือ ข้อห้าม หรือ ความเชื่อของคนเมืองเหนือ ซึ่งหากได้ยินคำว่า “ขึด” จะหยุดกระทำทันที เป็นคำที่ปรามผู้คนมิให้กระทำโดยเชื่อกันว่าหากระทำแล้วจะเกิดความเสียหาย ต่อตนเอง หรือครอบครัวหรือญาติ ๆ หรือต่อส่วนรวม ในที่นี้จะขอเล่า เรื่องขึดในวิถีชีวิตคนเมืองพอสังเขป เพื่อให้เข้าใจว่าวิถีชีวิตคนเมือง มีการสร้างสรรค์กฎ เกณฑ์ ข้อห้ามโดยใช้ความเชื่อมาปรามคนไม่ให้ทำในสิ่งที่ผิดหรือเสี่ยงต่อ อันตรายในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น เรื่องของต้นไม้ขึดที่ห้ามนำมาปลูกบ้านเรือน

“ไม้ขึด” หมายความว่า ไม้ที่ไม่สมควรนำมาปลูกเรือนได้แก่ ไม้ของเรือนร้าง ไม้กระท่อมห้างนาร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ไม้ของวัดร้าง ต้นไม้ที่เคยถูกฟ้าผ่า ต้นไม้ที่ตายเองตามธรรมชาติ ต้นไม้ที่มีรูกลวงเป็นโพรงลึกเข้าไป ไม้ที่มีรอยร้าวแตกที่ลำต้น ต้นไม้ที่มีเถาวัลย์ขึ้นพันเกี่ยว ต้นไม้ที่ขึ้นบนจอมปลวก ไม้ที่หักและล้มเอนลง ต้นไม้ที่ปลายยอดด้วน ต้นไม้ที่มีลำต้นเดียว ปลายแตกเป็น ๒ ต้น ๒ กิ่ง จากลำโคนต้นไม้ขึ้นไปทางปลายยอดมีง่าไม้ แตกทางด้านทิศเหนือ ๑ กิ่ง และแตกทางทิศใต้อีก ๑ กิ่ง ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมฝั่งน้ำ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณที่ชาวบ้านชาวเมืองนับถือว่าเป็นอาณาบริเวณที่มี ผีอารักษ์ปกปักรักษาอยู่ ต้นไม้ที่ขึ้นในบริเวณที่เป็นแนวแบ่งเขตแดนระหว่างเมือง ต้นไม้ที่มีโคนต้นเล็ก แต่ส่วนปลายต้นมีขนาดใหญ่ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณป่าลึกป่าใหญ่ ต้นไม้ที่มีเสียงเหมือนคนโห่ ต้นไม้ที่มีเสียงเหมือนคนร้องไห้ ต้นไม้ที่มีเสียงเหมือนคนคราง ต้นไม้ที่มีเสียงเหมือนคนตดก็ดี เป็นดั่งควันฟุ้งออกมาก็ดี เหมือนคนหัวเราะก็ดี คือ ต้นไม้ที่ตอนฟัน จะมีเสียงลักษณะดังกล่าวออกมา ต้นไม้ที่ล้มเอง โดยไม่มีใครตัดฟัน ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ หรือใกล้สระหนอง ต้นไม้ที่มีลำต้นตรงขึ้นไปแล้วแตกออกเป็น ๒ ลำมีขนาดใหญ่เล็กเท่ากัน ต้นไม้ที่มีโคนต้น และปลายต้นเล็ก แต่มีกลางต้นใหญ่ ต้นไม้ที่มีส่วนโคนต้นแบน และส่วนปลายเป็นรูโพรง ต้นไม้ต้นเดียวกันแต่มีกิ่งไม้เกี่ยวชนกัน ต้นไม้ที่ไหลบ่ามาพร้อมกับกระแสน้ำ เมื่อเกิดอุทกภัยน้ำท่วม.........

...........เป็นไงครับ อ่านแล้วมึนไหม นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้นนะครับ ยังมีอีกเยอะ เป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณกาลนั่นล่ะครับ.....จริงหรือไม่นั้น....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่..........


ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วน จาก www.chiangmai-thailand.net/kuad/lanna_caution.html
โดย ทินกร สุริกัน ผอ.กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม

บัวหลวง

บัวหลวงมีประโยชน์มากมายหลากหลายด้าน โดยทั้งในด้านประโยชน์ทางคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การนำมาใช้เป็นปัจจัย ๔ และการนำมาบูชาพระ เราสามารถนำ
บัวหลวงมาใช้ประโยชน์มากมาย
ประโยชน์ทางพระพุทธศาสนา
บัวหลวง นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคนไทยก็ยังนิยมนำดอกบัวหลวงมาใช้บูชาพระ ยากที่จะหาไม้ดอกชนิดอื่นมาทดแทนได้ได้ .....................................................................................................................
คุณค่าทางอาหาร
บัวหลวง นอกจากดอกที่สามารถผลิตเพื่อการค้าได้แล้ว ส่วนต่างๆของบัวหลวงก็มีคุณค่าในเรื่องของการประกอบอาหาร และในเรื่องของการนำมาใช้เป็นยา ทางด้านเภสัชวิทยาพบว่า มีสารที่เป็นตัวยาสำคัญๆ เช่น สาร nuciferine มีฤทธิ์กดประสาท ต้านการอักเสบ ลดไข้ แก้ไอ และมีผลในการยับยั้งการหลั่งสาร serotonin
................๑. ดีบัว มีฤทธิ์เพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ
................๒. ฝักบัว ฝักบัวประกอบด้วยสารกลุ่มแอลคาลอย ๔ ชนิด ได้แก่ สาร nuciferine , N-nornuciferine liriodenine และ N-noramepavine และสารกลุ่มพาโวนอยด์ คือ quercitin ซึ่งมีฤทธิ์ในการห้ามเลือดได้เนื่องจากมีสาร quercitin
................๓. เมล็ดบัว ใช้บำรุงร่างกาย แก้ไข้ซึ่งมีสารสกัดแอลกอฮอล์ต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ต้านความเป็นพิษของตับได้ในขนาด ๓๐๐ mg/Kg
................๔. เกสรบัว เกสรบัวมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดจากน้ำของเกสรมีฤทธิ์ที่ต้านเชื้อก่อให้เกิดฝีหนอง เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วง และสารสกัดแอลกอฮอลืมีฤทธิ์ต้านเชื้อ B-steptococcus group A มีฤทธิ์ต้านเชื้อราและยีสต์
...............๕. ใบบัว มีฤทธิ์ในการลดคลอเรสเตอรอล สารสกัดแอลกอฮอล์จากใบแห้งมีผลป้องกันไม่ให้ระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง และสาร nuciferine มีฤทธิ์ในการกดประสาทต้านการอักเสบ ลดไข้ แก้ไอ มีผลยับยั้งการหลั่งสาร sertonin
...............๖. ก้านบัว เป็นสารสกัดแอลกอฮอล์จากก้านดอกในขนาด ๒๐๐ และ ๔๐๐ mg/kgมีฤทธิ์ลดไข้ในหนุทดลองปกติได้นาน ๓ และ ๖ ชั่วโมง ตามลำดับ และในหนูที่ทำให้เป็นไข้ด้วยยีสต์ได้นาน ๔ ชั่วโมง โดยเปรียบเทียบกับยาพาราเซตามอล
...............๗. รากบัว สามารถแก้อาการท้องเสีย สารสกัดจากเหง้าสามารถลดปริมาณของอุจจาระและการบีบตัวของลำไส้ ลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดแอลกอฮอล์จากเหง้ามีฤทธิ์ลด น้ำตาลในเลือด ฤทธิ์ต้านการ
อักเสบ สารสกัดจากแอลกอฮอล์และสาร betulinic acid สกัดได้จากส่วนของเหง้ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ เทียบเท่ายามาตรฐาน phenylbutazzone และ dexamethasone สารสกัดแอลกอฮอล์จากเหง้ามีผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับ ลดไข้ ลดอาการเกร็งของลำไส้เล็ก
..............บัวหลวงนับเป็นพันธุ์ไม้น้ำอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า ที่มีประโยชน์ในด้านของปัจจัย ๔ ที่มนุษย์ทุกคนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ทั้งในด้านการบริโภคโดยตรง หรือการนำมาใช้ในส่วนประกอบของยา ในการรักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากคนไทยมองเห็นความสำคัญและสามารถปรับปรุงพันธ์ของบัวหลวงให้มีความพิเศษ ในด้านการสกัดสารมาใช้ประโยชน์ บัวหลวง ก็น่าจะเป็นพืชที่มีคุณค่าแก่วงการแพทย์ได้เป็นอย่างดี
ประโยชน์ทางด้านปัจจัย ๔
..............ปัจจัย ๔ ก็ประกอบไปด้วย ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม บัวหลวงสามารถนำไปประยุกต์ได้หลากหลายอย่าง เช่น การนำมาทำเป็นอาหาร ยารักษาโรคก็มีอย่างมากมาย และในสมัยปู่ย่าก็มีการนำเอา ใบของบัวหลวงมาทำเป็นห่อใส่อาหารอีกด้วย

ที่มา: www.krudung.com/webpage/webst.../lotus%๒๐๔%๒๐.html
โดย จิราภรณ์ กาญจนา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ความเชื่อของคนโบราณ

.................ความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของมนุษย์ มีผลต่อการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นคำสอนที่คนโบราณได้ใช้เป็นเครื่องเตือนสติ เตือนใจให้คนรุ่นหลังได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ บางคนอาจคิดว่าปัจจุบันเป็นยุคที่พัฒนาแล้ว ความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปมาก ความเชื่อต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องไร้สาระไม่น่ายึดถือมาปฏิบัติ หากคิดในแง่กลับกันความเชื่อของคนโบราณนั้นแม้บางครั้งดูเหมือนงมงาย แต่ก็มักจะแฝงด้วยเหตุผลบางประการให้น่าขบคิดได้เหมือนกัน ซึ่งข้าพเจ้าขอเสนอความเชื่อของคนโบราณแต่คนในยุคปัจจุบันก็ยังมีความเชื่อยึดถือความเชื่อนั้นอยู่ อาทิ เช่น

สีดำ เป็นสีที่คนโบราณถือนักถือหนาว่าเป็นสีแห่งความทุกข์โศก ใช้ใส่เฉพาะงานศพ
เท่านั้น ชุดสีดำจึงไม่นิยมใส่ไปในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานวันเกิด งานแต่งงาน หรือแม้กระทั่งการไปเยี่ยมคนป่วยก็เหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นการแช่งหรือเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ผู้ป่วยนั้นตายเร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยหดหู่และหมดกำลังใจ เกิดอาการทรุดลงได้ง่าย จึงไม่ให้ใส่สีดำ ควรเป็นสีที่สดใสและแสดงสีหน้าที่สดชื่ออีกด้วย

ตามปกติหญิงมีครรภ์มักถูกห้ามทำโน่นทำนี่อยู่เสมอ ด้วยกลัวว่าเกิดอันตรายกับทารกในครรภ์ คนโบราณห้ามหญิงมีครรภ์ไปงานศพ เพราะเกรงว่าวิญญาณจะสามารถเข้าไปรบกวนทารกในครรภ์ ทำให้เกิดอันตรายได้ แต่หากมองตามหลักความจริงก็คือ งานศพเป็นงานโศกเศร้า สร้างความสลดใจ ซึ่งมีผลต่อทารกในครรภ์อย่างแน่นอน แต่หากจำเป็นต้องไปจริง ๆ ก็ให้กลัดเข็มกลัดไว้ที่เสื้อผ้าบริเวณครรภ์ เป็นการป้องกันสิ่งไม่ดีต่าง ๆ เข้าไปรบกวนทารกได้

ความเชื่อเช่นนี้เช่นนี้มีมานานแสนนาน เพราะเชื่อว่าจะทำให้นอนฝันร้าย ตื่นขึ้นมาไม่สดชื่น พบแต่ปัญหากลัดกลุ้มอยู่ไม่เป็นสุข บางคนก็คิดว่า ทิศตะวันตกนั้นนิยมให้คนตายหันศีรษะไปทางนั้น อีกทั้งพระอาทิตย์ก็ตกในทิศนั้นเช่นกัน แถมชื่อก็ยังไม่น่าฟังอีก จึงไม่ค่อยมีใครนิยมนอนหันศีรษะหรือทำการใดไปในทางทิศตะวันตกนี้



โดย พรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ชาวพุทธมีหน้าที่ป้องกันพระพุทธศาสนาไม่ให้พระสงฆ์ล่วงละเมิดสิกขาบท

...........มีชาวพุทธจำนวนมากไม่เข้าใจวินัยบัญญัติของสงฆ์ เป็นผู้นำให้พระสงฆ์ต้องอาบัติ คือ โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งพระภิกษุพระสงฆ์ ข้อที่พระพุทธเจ้าห้ามซึ่งยกขึ้นเป็นสิกขาบทในพระปาติโมกข์ มี ๒๒๗ ข้อ ชาวพุทธมีหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนา โดยพยายามป้องกันรักษาพระสงฆ์ ไม่กระทำหรือสนับสนุนส่งเสริมให้พระสงฆ์ล่วงละเมิดสิกขากบท เช่น
............๑. ปาราชิก ๔ โทษสถานหนัก ขาดจากความเป็นพระสงฆ์ คือ เสพเมถุน ลักของเขาฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุษธรรมที่ไม่มีในตน มีภิกษุจำนวนมากเอาสิ่งของของวัดไปเปลี่ยนเป็นเงินเอาเงินของวัดไปใช้ส่วนตัวล้วนขาดจากความเป็นพระไปนานแล้ว ฉะนั้นเวลาจะถวายเงินถวายของราคาแพงของเขียนหรือประกาศให้ชัดเจนว่ามอบถวายวัดส่วนถวายพระสงฆ์เป็นการส่วนตัว ควรถวายแต่เพียงพอแก่การยังชีพ (*อุตริมนุสธรรม แปลว่า คุณอย่างยิ่งยวดของมนุษย์ ได้แก่ ธรรมวิเศษมีการสำเร็จฌาน สำเร็จมรรคผล เป็นต้น)
.............๒. สังฆาทิเสส ๑๓ โทษสถานกลาง มี ๑๓ ข้อ มีอยู่ ๓ ข้อ ที่สตรีพึงรู้และระมัดระวัง
ไม่ทำให้เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ เช่น ภิกษุมีความกำหนัดอยู่จับต้องกายหญิง ๑, พูดเกี้ยวหญิง ๑, พูดล่อลวงหญิงให้บำเรอตนด้วยกาม ๑, ทั้ง ๓ ข้อ ล้วนต้องสังฆาทิเสส พระภิกษุสงฆ์องค์นั้นต้องอยู่กรรมก่อน จึงจะพ้นโทษฉะนั้นสุภาพสตรีจงอย่าไปใกล้ชิดพระสงฆ์เปิดโอกาสให้พระสงฆ์จับต้อง พูดเกี้ยวพูดหลอกล่อฯ
ล้วนเป็นบาปคือชั่วด้วยกัน
.............๓. “ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนควรเชื่อได้มาพูดด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์ (โทษสถานเบา ปลงอาบัติได้) อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใดให้ปรับอย่างนั้น หรือ เขาว่าจำเพาะอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น” ฉะนั้นหญิงไม่ว่าสาวหรือแก่จงอย่างนั่งในที่ลับตากับพระสงฆ์เป็นบาปแก่ตนและพระสงฆ์

โดย สุภาภรณ์ เรือนหล้า นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ผ้าทอลายสายฝนบ้านกิ่วพัฒนา

ประวัติความเป็นมา
บรรพบุรุษของชาวบ้านกิ่วพัฒนา ตำบลบ้านกิ่ว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ส่วนมากมีอาชีพในการทอผ้าทุกครัวเรือน ประกอบกับการทำอาชีพเกษตร ทำนา ทำไร่ ปลูกผักสวนครัวไว้บริโภค มีการนำฝ้ายมาตากแดดให้แห้ง เอาเมล็ดออก นำมาตีให้ฟู และนำมาปั่นเป็นเส้นด้ายนำมาโว้นทอด้วยกี่ ทอผ้า คิดเองด้วยภูมิปัญญา นำมาตัดเสื้อแบบง่าย ๆ ผ้าถุง จากนั้นนำฝ้ายมาคิดแบบย้อมสีคราม สีดำ สีธรรมชาติต่าง ๆ
ต่อมาปี ๒๕๔๒ มีกลุ่มแม่บ้านที่สนใจ ๖ – ๗ คน คิดจะพัฒนาการทอผ้าของตนเอง จึงของบประมาณสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกิ่ว และศูนย์บริการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอแม่ทะ จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาและฝึกเรียนทอผ้า เริ่มจาก ๑๐๐ ชั่วโมง นำสีมาเองและฝึกเรียนลายต่าง ๆ เพื่อค้นหาลายของกลุ่มโดยทอผ้าพื้น ผ้าตีนจก แต่ปัญหาอุปสรรคในการทำงานกับเส้นด้ายประสบการณ์มีน้อย ทำให้ ทอผ้าสีไม่สวย ดอกน้อยไม่มีตลาดรองรับ ราคาไม่ได้มาตรฐาน
ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอแม่ทะ จึงเข้ามาแนะนำให้ทอถุงย่ามและหาวิทยากรเพิ่มความรู้ความสามารถ จากต่างจังหวัดมาสอนการทอผ้าลายสายฝน ซึ่งกลุ่มมีความตั้งใจและทอได้ดีมาก จึงคิดนำมาเป็นลายขอลกลุ่ม ฝึกฝนจนชำนาญได้ OTOP ๔ ดาว เป็นที่สนใจของกลุ่มทอผ้าอื่น ๆ และประชาชนทั่วไป กลุ่มได้รับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากกลุ่มทอผ้าที่อื่น โดยการไปศึกษาดูงานเพื่อนำมาพัฒนาผลงานของตนเอง
สิ่งที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้
การทอผ้าลายสายฝน / การแปรรูปผ้าทอ / การย้อมสีฝ้าย / กระบวนการกลุ่ม / การตลาด สินค้าต่าง ๆ ของกลุ่ม เช่นผ้าปูโต๊ะรับแขก, โต๊ะกินข้าว, ผ้าหุ้มเก้าอี้ สำหรับโต๊ะประชุม, ผ้าซิ่นตัดชุด ,ผ้ารองแก้ว, รองจาน
สถานที่ตั้ง
กลุ่มทอผ้าลายสายฝนบ้านกิ่วพัฒนา หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบ้านกิ่ว อำเภอแม่ทะ
จังหวัดลำปาง ๕๒๑๕๐
ภูมิปัญญา
นางสุภาพ วงศ์จักรคำ
ผู้ที่ติดต่อประสานงาน
นางสุภาพ วงศ์จักรคำ
โทรศัพท์ ๐๕๔-๒๙๐๑๔๔
การให้บริการ
ทุกวัน เวลา ๐๖.๐๐ – ๑๘.๐๐ น.
การเดินทาง
รถโดยสารประจำทาง , รถส่วนตัว , ระยะทางห่างจากอำเภอแม่ทะ ๘ กิโลเมตร

เกร็ด.....จากการไปงานศพ

…....สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป……
.................อะไรหนอ สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป ประโยคนี้เคยได้ยินบ่อย ๆ เชื่อว่าหลายท่านคงจะเคยได้ยินเช่นกัน แต่ไม่รู้เลยว่าหมายถึงอะไร (ผู้เขียนไม่รู้นะ....ท่านอาจจะรู้ก็ได้) เคยคิดว่าหมายถึง พิธีแห่ศพหรือขบวนแห่ศพอะไรไปโน่น..... ก็เพิ่งได้คำตอบแบบกระจ่างแจ้ง ชัดเจนและเข้าใจ เมื่อไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณแม่เพื่อนร่วมงาน เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง พระท่านเทศน์เรื่องนี้พอดี ปริศนาธรรมอันนี้ก็ได้เฉลยว่า สี่คนหาม หมายถึง ตัวเรานี่เองที่ประกอบไปด้วย ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ธาตุดิน หมายถึง หนัง ขน เล็บ กระดูก เนื้อ ตับไตไส้พุงทั้งหลายนั่นแหละ
ธาตุน้ำ หมายถึงน้ำตา น้ำลาย น้ำเหลือง เลือด เป็นต้น
ธาตุลม หมายถึง ลมหายใจ และลมเข้า ออกทุกทวาร
ธาตุไฟ หมายถึง ความร้อนหรืออุณหภูมิในร่างกาย
มนุษย์เราจะมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะธาตุทั้ง ๔ ถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง เราก็จะไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น คำว่า สี่คนหาม ก็หมายถึง ธาตุทั้ง ๔ ที่พยุงร่างกายเราไว้ให้มีชีวิตอยู่ประกอบขึ้นเป็นตัวตน บุคคล และเคลื่อนไหวได้ ดังที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ นี่คือ ความหมายของคำว่า “ สี่คนหาม ” สามคนแห่ สามคนนั้นก็คือ ไตรลักษณ์ แปลว่า ลักษณะ ๓ หมายถึง อำนาจในธรรมชาติที่ครอบงำบังคับให้สังขาร ร่างกาย ชีวิต และทุกสิ่ง ทุกอย่างต้องมีอันเป็นไป กล่าวคือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่เที่ยงแท้ ไม่มีใครและไม่มีอะไรในโลกนี้หรือที่ใดใด จะเที่ยงแท้ถาวรไม่เปลี่ยนแปลง คือ สวยงาม ดี แข็งแรง คงสภาพอยู่เหมือนเดิม ต้องแปรเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เมื่อสาวมีความสดใสสวยงาม เต่งตึง ต่อเมื่อแก่ลง ก็ทรุดโทรมเหี่ยวย่น เพราะทุกอย่างเป็น อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตาความมิใช่ตัวตนของเรานั่นเอง หนึ่งคนนั่งแคร่ ซึ่งหมายถึง จิต หรือ วิญญาณ จิต นั่งแคร่ คือ อัตภาพ สังขาร ร่างกาย เพราะเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนืออัตภาพ ธรรมชาติที่รู้จักคิดเรียกว่า จิต จิตนี้อาศัยอัตภาพร่างกายอยู่ เพราะจิตเป็นนามธรรม ไม่กินเนื้อที่ เข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ทุกส่วน ถ้าจิตไม่เข้าไปสอดแทรกในหน้าที่ต่างๆ ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่จะต้องมองรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ ก็จะเป็นผลร้ายคือ มองรูปไม่เห็น ฟังเสียงไม่ได้ยิน ดมกลิ่น ไม่รู้หอมเหม็น ลิ้นรสไม่รู้รสชาติ ถูกต้องอะไรก็เฉยๆ เหมือนศพที่ถูกมนุษย์มีชีวิตจับต้อง สองคนพาไป สองคน หมายถึง กรรม ๒ ประเภท ได้แก่ กรรมดีอันเป็นกุศลหรือบุญ กรรมชั่วอันเป็นอกุศล หรือบาป เพราะบุคคลเกิดมาแล้วถึงจะมั่งมีศรีสุข มากมายด้วยทรัพย์ศฤงคาร เมื่อตายลง เขาก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย สิ่งที่จะเอาไปได้จริง ๆ ก็คือบุญกับบาป ซึ่งจะติดตามจิตหรือวิญญาณ ไม่ใช่ติดอยู่ที่กายหยาบ ถึงกายจะสลายบาปบุญก็ไม่สูญสลายตามร่างกาย บาปย่อมนำสัตว์และคนผู้กระทำให้ไปสู่อบายทุคตินรก ส่วนบุญก็ย่อมนำสัตว์และคนผู้กระทำให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ นี่คือ ความหมาย ของคำว่า “สองคนพาไป”
สรุปว่า มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน วัฏสงสาร ไม่จบไม่สิ้น เพราะว่ามีสี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไปนั่นเองแหละค่ะ...

โดย อรัญญา ฟูคำ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ

ผักกูด

“ผักกูด” เป็นชื่อของผักชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูลเฟิร์นที่อยู่ในวงศ์ “Athyriaceae” ซึ่งมนุษย์สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังเป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์อีกด้วย โดยมีสรรพคุณแก้ไข้ตัวร้อน พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต ความดันโลหิตสูง เว็บไซต์วิชาการ ดอตคอม รายงานว่า ผักกูดเป็นพืชตระกูลเฟิร์นกินได้ชนิดหนึ่ง มีเหง้าสูงได้ ๑ เมตร ใบเป็นแผงรูปขนนก ตอนอายุยังน้อยจะแตกเป็นรูปขนนกชั้นเดียวคู่ขนานกันไปตั้งแต่โคนใบถึงปลายใบ เมื่ออายุมากขึ้นใบจะเปลี่ยนเป็นรูปขนนก ๒ ชั้น ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอย เติบโตในฤดูฝนในที่โล่งแจ้งมีน้ำชื้นแฉะ จะพบมากกว่าที่ในป่าทึบ
ผักกูดมี ๓ ชนิด แตกต่างกันเพียงสีของต้นและลักษณะใบเล็กน้อย รับประทานเป็นอาหารได้ทั้ง ๓ ชนิด ชาวบ้านรุ่นเก่าๆ รู้จักผักกูดมาตั้งแต่โบราณแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่น้อยนักจะรู้จักและรู้จักรับประทาน มียอดอ่อนขายตามตลาดสดทั่วไป
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าผักกูดเป็นผักบอกสภาวะแวดล้อมให้คนรู้ว่า บริเวณไหนอากาศไม่ดี ดินไม่บริสุทธิ์ มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่ยอมขึ้นหรือแตกต้นในบริเวณนั้นเด็ดขาด ผักกูดจึงถือได้ว่าเป็นอาหารพิเศษอย่างหนึ่งจากธรรมชาติมีสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็กในตัวสูง เมื่อรับประทานแล้วจึงได้ประโยชน์ ใบของผักกูดใช้ต้มน้ำดื่มหรือกินสด ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟันและขับปัสสาวะเด็ดขาดมาก ลดความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเม็ดเลือด ส่วนใหญ่จะนำใบอ่อน ช่ออ่อน ทำแกงกับปลาเนื้ออ่อนน้ำจืด เช่นปลาช่อนหรือลวกจิ้มน้ำพริกชนิดต่างๆ ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย แกงกะทิกับปลาย่าง ลวกกะทิ แต่ไม่นิยมกินสดๆ กันเพราะจะมียางเป็นเมือกอยู่ที่ก้าน

ที่มา :ข่าวสด

โดยลักขณา แสงแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฟ้อนมองเซิง

บ้านเมาะหลวง ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ได้รับการสืบทอดศิลปะการแสดง ฟ้อนมองเซิงต่อมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นชาวไทใหญ่ โดยมีหลักฐานความเป็นมาปรากฏแสดงที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ศูนย์เรียนรู้ชุมชนอนุรักษ์คำเมืองบ้านเมาะหลวง วัดเมาะหลวง ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง การเผยแพร่
กลองมองเซิง เป็นกลองที่ได้รับอิทธิพลจากชาวไทใหญ่ พบเห็นโดยทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่และแม่ฮ่องสอน
กลองมองเซิง คือ กลองที่ขึงด้วยหนังทั้งสองหน้ามีสายโยงเร่งเสียง รูปร่างคล้ายตะโพนมอญ ไม่มีขาตั้ง แต่มีสายร้อยสำหรับคล้องคอเวลาตี เฉพาะคำว่า “มองเซิง” เป็นภาษาไทใหญ่โดยที่ คำว่า “มอง” แปลว่า “ฆ้อง” ส่วน“เซิง” แปลว่า “ชุด” กลองมองเซิงจึงหมายถึงกลองที่ใช้ฆ้องเป็นชุด เพราะวงกลองมองเซิงจะเน้นเสียงฆ้องเป็นหลักใหญ่




กลองมองเซิง """""...........ฬฬใ............................................................................................................ใการแสดงตีกลองมองเซิงของอำเภอแม่เมาะ ใช้กลองมองเซิง ๑ ลูก ฉาบขนาดใหญ่ ๑ คู่ ฆ้องขนาดใหญ่และเล็กลดหลั่นลงไปประมาณ ๕ - ๙ ใบ ขณะบรรเลงกลองมองเซิงจะตีรับกับฉาบ โดยลักษณะอาการล้อทางเสียงหลอกล่อกันไป ในขณะที่มีเสียงฆ้องเป็นตัวกำกับจังหวะ ซึ่งมีบางแห่งเพิ่มฉิ่งตีกำกับจังหวะไปพร้อมๆ กับฆ้องด้วย
วงกลองมองเซิงใช้ประโคมในงานบุญของวัด ขบวนแห่ครัวทาน และประกอบการฟ้อนพื้นเมือง รวมทั้งขบวนแห่นาคสามเณรที่ล้านนาเรียก “ลูกแก้ว” ไทใหญ่เรียก “ส่างลอง”
ปัจจุบัน วงกลองมองเซิงยังเป็นที่นิยมกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แห่ขบวน ใช้บรรเลงประกอบการฟ้อน เช่น ฟ้อนกลายลาย ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง เป็นต้น







โดย รัตนา สันตกิจ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อร่อยๆกับขนมล้านนา ๓


















สวัสดีครับพบกันอีกแล้ว ครั้งนี้ขอแนะนำขนมทานเล่นที่หาทานกันยากอีกอย่างครับ ขนมนี้จะมีลักษณะรูปร่างคล้ายขนมถ้วยทำมาจากแป้ง มีน้ำเชื่อมราดหน้าตามด้วยหัวไชโป๊เค็มสับและกระเทียมเจียวโรยไว้ คนทางลำปาง เข้าเรียกขนมนี้ว่า “ข้าวปั้น” ที่จังหวัดอื่นอาจะเรียกต่างออกไป เรียกว่า “ขนมมี้ปัน” ก็มี “ขนมถ้วยจีน” ก็เรียกกันครับ แต่จริงๆมันเป็นของกินเล่นของเด็กลูกจีนสมัยก่อน เรียกว่า ขนมจุ๋ยก้วย หรือชื่อเต็มๆว่า เกี่ยมจุ๋ยก้วย แต่ขนมจุ๋ยก้วยนี้มันจากจากขนมถ้วยอยู่ที่ของราดหน้านะครับ ขนมถ้วยจีนจะมีน้ำราดเป็นน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลมะพร้าวแต่ขนมจุ๋ยก้วยราดด้วยผัดกระเทียมและหอมซอยสับกับหัวไช้โป๊สับ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำและพริกไทย
ที่นี้มาดู“ข้าวปั้น”กัน ผมคิดว่าขนมข้าวปั้นที่ชาวลำปางรู้จักนั้นคงมาจากชุมชนชาวจีนสมัยก่อน ที่มาอาศัยอยู่ในจังหวัดลำปางนี้ละครับ “ข้าวปั้น” ของลำปางเป็นการผสมประสานของขนมจุ๋ยก้วยและขนมถ้วยจีน นั้นคือมีน้ำราดที่ทำมาจากน้ำตาลซึ้งเป็นของขนมถ้วยจีน และมีการใส่หัวไชโป๊เค็มสับและกระเทียมเจียวด้วยซึ้งเป็นของขนมจุ๋ยก้วย การจะหาทาน“ข้าวปั้น” ในลำปางนี้จะมีให้เป็นน้อยมากที่เห็นก็จะมีที่กาดหัวสะพานหรือตลาดสะพานรัชฎา และที่อีกหนึ่งคือกาดกองต้า วันธรรมดาจะมีแถวด้านหน้าวัดเกาะวารุการาม แต่ถ้าให้ดีช่วงเย็นวันเสาร์และวันอาทิตย์ ได้ทานแน่นอนและมีหลายสีให้เลือกโดยนั่งแคะทานหน้าร้านกันเลย แต่ถ้าใครต้องการทานขนมโบราณหายาก แต่มาลำปางไม่ได้ ก็ทำรับประทานกันเองในครอบครัวโดยมีสูตรการทำให้ทำกันครับ โดยไม่มีอะไรยุ่งยากมากมามาดูกันเลย
สูตร และวิธีทำ “ข้าวปั้น”๑.แป้งข้าวเจ้า (หนึ่งส่วน)
๒.แป้งมัน (3/4 ของแป้งข้าวเจ้า)
๓.เบกกิ้งโซดา
๔.น้ำปูนใส

นำผสมกันลงไป ใส่น้ำใบเตยที่คั่นลงไปแต่ถ้าต้องการสีอื่นก็สามารถใส่สีผสมอาหารสีอื่นได้ ตั้งลังถึงใส่น้ำ ใส่ถ้วยตะไล พอน้ำเดือดนึ่งถ้วยจนร้อนจัดตักแป้งหยอดลงไป นึ่งประมาณ 7-8 นาที เมื่อตัวแป้งขนมสุกแล้วนำมาพักให้ขนมถ้วยตัวแป้งเย็นแล้วใช้ไม้พายแคะออก
สูตร และวิธีทำน้ำราด
๑.น้ำตาลอ้อย๒.น้ำสะอาด๓.แบะแซ เคี่ยวกันให้เหนียว๔.งาขาวคั่ว (สำหรับโรยหน้าถ้าชอบ)
๕.กระเทียมเจียว (สำหรับโรยหน้า)
๖.หัวไช้โป๊สับ(สำหรับโรยหน้า)

นำน้ำตาลอ้อย น้ำสะอาและแบะแซ ลงหมัอที่เตรียมไว้ คนให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วนำขึ้นตั้งไฟอ่อนเคี่ยวนานประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างเคี่ยวน้ำตาลใช้ไม้พายหมั่นคน เพื่อไม่ให้ติดก้นหม้อ เมื่อน้ำตาลเหนียวได้ที่และน้ำตาลมีสีสวย ยกขึ้นตั้งพักไว้ให้เย็น
แค่นี้ก็จะมีขนมไว้ทานเป็นอาหารว่างสบายๆ ก็ขอนนำเสนอ อร่อยๆกับขนมล้านนา ๓ แค่นี้นะครับขอให้ติดตาม ครั้งหน้าจะมีอะไรมาแนะนำกันอีก