วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

อร่อยๆกับขนมล้านนา

สวัสดีครับพบกันอีกครั้งแต่ครั้งนี้เรามาอร่อยกับการขนมทางล้านนาที่มีแยะมากมายแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกันวันนี้ผมขอแนะนำขนมขบเคี้ยว ที่นิยมทานกันในช่วงเทศกาลปีใหม่เมือง งานบวชลูกแก้ว งานปอยหลวง ก็ คือ “ข้าวแคบ” ครับมีลักษณ์คล้ายกับข้าวเกรียบว่าว แต่แผ่นเล็กกว่าและมีรสเค็มเล็กน้อย แต่ถ้าจะเป็นข้าวเกรียบว่าวทางเหนือเรียกกว่า “ข้าวควบ” แต่เรายังไม่คุยกันในครั้งนี้
“ข้าวแคบ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่า คือ "ข้าวเกรียบที่มีรสเค็ม ๆ อย่างข้าวเกรียบกุ้ง" เป็นภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ "ข้าวแคบ"เป็นของกินชนิดหนึ่งที่ทำด้วยแป้งข้าวเจ้า หรือข้าวเหนียว เป็นแผ่นตากให้แห้ง
“ข้าวแคบ มีอยู่ ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งทำจากแป้งข้าวเจ้า จะเป็นแผ่นบางๆ รสจืด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖ นิ้ว อีกชนิดหนึ่งทำจากแป้งข้าวเหนียวเป็นแผ่นหนากว่ามีรสเค็มและมีขนาดเล็กกว่า มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓ นิ้ว ปัจจุบันผู้ทำข้าวแคบบางคนอาจปรุงรส เผ็ด เค็ม เปรี้ยว หรือ หวานเล็กน้อย ลงไปก่อนที่จะทำให้สุกเป็นแผ่น


วิธีทำข้าวแคบข้าวเหนียว
๑. ล้างข้าวสารเหนียวให้สะอาด แช่ไว้ 1 คืน๒. ล้างข้าวสารเหนียวที่แช่แล้วอีกครั้งหนึ่ง และนำมาโม่ด้วยโม่หิน จะได้แป้งสำหรับทำข้าวแคบ
๓. ผสมงาดำและเกลือลงในน้ำแป้ง คนให้เกลือละลาย
๔. การเตรียมเตาและหม้อ(ถ้าเป็นหม้อดินจะดีกว่า) ตั้งเตา(เตาถ่ายจะดีมาก)ตั้งหม้อใส่น้ำ วางหม้อ เติมน้ำ ปากหม้อขึงผ้าขาวบางให้ตึง ตั้งไฟจนน้ำเดือดให้มีไอน้ำผ่านขึ้นมา เจาะรูผ้าขาวบางปากหม้อประมาณ ๒ นิ้ว เพื่อให้ไอน้ำผ่าน
๕. ละเลงแป้งลงบนผ้าเป็นแผ่นวงกลมตามที่ต้องการ พอแป้งสุก ใช้ไม้พายช้อนขึ้น
๖. วางแป้งลงบนแผ่นหญ้าคา ทำต่อเรื่อยๆ จนเต็ม ตากแดดให้แห้ง ประมาณ 2 วัน
การทานข้าวแคบ มีวิธีการที่ง่าย ๆ ด้วยการนำข้าวแคบที่ทำเสร็จแล้ว มาย่างไฟอ่อน ๆ จนเหลืองพองาม กินเป็นอาหารว่างหรือรองท้องก่อนถึงเวลาอาหารมื้อหลัก บางแห่งเข้าอาจจะไม่ย่างแต่นำไปทอดก็ได้แล้วแต่สะดวกนะครับ
เคล็ดไม่ลับในการปรุง ๑. การใช้แผ่นหญ้าคา วางข้าวแคบที่ละเลงสุกใหม่ ทำให้แป้งข้าวแคบแกะออกได้ง่าย๒. ข้าวเหนียวที่ใช้เป็นข้าวเม็ดหัก หรือเรียกว่า “ข้าวต่อน” จะทำให้โม่ละเอียดง่าย
เกร็ดความรู้ภูมิปัญญา
สำหรับผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงอยู่ไฟจะนิยมกินข้าวแคบเป็นอาหาร หลักด้วยมีความเชื่อว่า ข้าวแคบเมื่อทานแล้วจะไม่เกิดผลข้างเคียงในขณะอยู่ไฟ
ครับทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวของ“ข้าวแคบ”ขนมอาหารว่างที่ของล้านนาครับ ครั้งต่อไปจะเป็นอะไรโปรดติดตามกันต่อนะครับ
สวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ
แหล่องอ้างอิง
รัตนา พรหมพิชัย. (2542). ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ
เว็บไซต์ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เว็บไซต์ของศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โรคลำไส้แปรปรวน

เคยรู้สึกไหมว่ามีลมในกระเพาะมาก และเป็นคนเครียดจัดหรือไม่ ระวังจะเป็นโรคลำไส้แปรปรวนเคยรู้สึก เหมือนมีลมอยู่ในท้อง ต้องเรอหรือผายลมบ่อย ๆ มีอาการท้องเสียสลับท้องผูกกันบ้างหรือเปล่าครับ อาการมากมายจนสับสนไปหมดไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ มาหาคำตอบเพื่อไขข้อข้องใจ กับอาการเหล่านี้ดีกว่าครับ
โรคลำไส้แปรปรวน คืออะไร
นพ.ณัฏฐากร วิริยานุภาพ แพทย์อายุรกรรมโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ได้ให้ความรู้ว่า โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) คือ โรคของลำไส้ที่บีบตัวผิดปกติ โดยตรวจไม่พบก้อนเนื้องอกด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ จึงลงความเห็นว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในระบบทางเดินอาหาร และพบมากในคนวัยทำงานที่มีอายุ ๓๐ – ๕๐ ปี ซึ่งในปัจจุบันขยายผลไปยังกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น การสังเกตความผิดปกติในเรื่องระบบขับถ่ายของตัวเราเอง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้รู้ว่าระบบภายในร่างกายมีความผิดปกติหรือ เปล่า โรคลำไส้แปรปรวน จะมีสัญญาณเตือนออกมาในรูปแบบของระบบการขับถ่ายที่ผิดปกติ และมักมีอาการเด่นชัด ดังนี้ครับ
๑. มีอาการปวดท้อง โดยอาจจะปวดบริเวณกลางท้อง หรือปวดบริเวณท้องน้อย แต่โดยทั่วไปจะปวดท้องน้อยด้านซ้าย ลักษณะอาการปวดมักจะปวดแบบเกร็ง มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด มีอาการท้องโตขึ้น เหมือนมีลมอยู่ในท้อง อาจมีอาการเรอหรือผายลมบ่อย
๒. มีอาการถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรืออาจมีท้องผูกสลับท้องเสีย บางรายอาจมีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด
๓. การขับถ่ายอุจจาระมีลักษณะเหลว หรือเป็นมูกร่วมด้วย แต่จะไม่มีเลือด อาการมักจะเป็นๆ หายๆ มากน้อยสลับกันและมีอาการเกิน ๓ เดือน
ความเครียด ตัวอันตรายทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวน
ความเครียดเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลทำให้โรคลำไส้แปรปรวนแสดงอาการรุนแรงมาก ขึ้น เพราะเมื่อเครียดสมองจะมีการหลั่งสารบางอย่างออกมา ส่งผลให้ลำไส้แปรปรวน ยิ่งในยุคปัจจุบัน ทั้งสภาพเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมยังเป็นตัวกระตุ้นให้ คนเกิดความเครียดมาก ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีชีวิตประจำวันที่เครียด ทำงานดึก พักผ่อนน้อย วันหนึ่งนอนไม่กี่ชั่วโมง และใช้สมองในการคิดการทำงานค่อนข้างมาก ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีบุคลิกค่อนข้างขี้โกรธ หงุดหงิดง่าย และไม่ได้ออกกำลังกายจะเกิดโรคลำไส้แปรปรวนได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้จากสถิติแล้วคนที่มีอาการเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ รักษาไม่หายสักที มักพบว่าต้นเหตุลำดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดโรคของเขามาจากความเครียดด้วยกันทั้งนั้ น ยิ่งรักษาไม่หายก็ยิ่งเพิ่มความกังวลกลัวว่าจะเป็นอย่างอื่นร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง ซึ่งต้องบอกไว้เลยว่าโดยธรรมชาติของโรคนี้ไม่เปลี่ยน ไปเป็นมะเร็ง ดังนั้นหากพบอาการของโรคเกิดขึ้นกับตนเองแนะนำว่าควร จะมาพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษาให้เหมาะสมต่อไปครับ ........................ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ มีประโยชน์ จาก...... หนังสือสุขภาพดี......ครับ
อุดม อนุพันธิกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

กาลามสูตร ๑๐ ประการ

กาลามสูตร เป็นพระสูตรสำคัญสูตรหนึ่งในพระพุทธศาสนา ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จากนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน แท้ที่จริง ในพระไตรปิฎก ชื่อกาลามสูตร ไม่ได้มีปรากฏอยู่ หากมีแต่ชื่อว่า เกสปุตตสูตร ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้แก่ชาวกาลามะ ซึ่งอยู่ในเกสปุตตนิคม เพราะฉะนั้นจึงตั้งชื่อพระสูตรนี้ ตามชื่อของนิคมนี้ว่า เกสปุตตสูตรแต่คนที่อยู่ในนิคม หรือ ตำบลนี้เป็นเชื้อสาย หรือมีสกุลเดียวกัน คือ สกุลกาลามะ เขาจึงเรียกประชาชนเหล่านี้ว่ากาลามชน ซึ่งมีโคตรอันเดียวกัน สกุลเดียวกัน คือ กาลามโคตรเพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า เกสปุตตสูตร แต่ชาวโลกทั่วไป มักจะเรียกพระสูตรนี้ว่า กาลามสูตร เพราะรู้สึกว่าจะเรียกได้ง่ายกว่า พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ไม่ยาว แต่มีใจความลึกซึ้งน่าคิดประกอบด้วยเหตุผล ซึ่งผู้นับถือ พระพุทธศาสนาหรือผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาควรจะได้ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการใช้เหตุผลตามหลัก วิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับกฎทางวิทยาศาสตร์ พระสูตรนี้มีความเป็นมาโดยย่อว่าในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังเกสปุตตนิคม อันเป็นที่ อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน ชาวกาลามชนในเกสปุตตนิคม ทราบข่าวมาก่อนแล้วว่า พระพุทธเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไรก่อนที่พระองค์จะได้เสด็จ มายังหมู่บ้านของพวกเขา จึงต่างก็พากันไปเฝ้าเป็น จำนวนมาก เพราะชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าดังก้องไปว่า อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทธโธ" เป็นต้น ดังที่เราสวดสรรเสริญกันในบทสวดมนต์ ซึ่งปรากฏมากในพระสูตรต่าง ๆว่า "แม้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็น พระอรหันต์, เป็นผู้ตรัสรู้ เองโดยชอบ, เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ, เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นผู้รู้ เป็นผู้ เบิกบานเป็นผู้จำแนกธรรม เป็นต้น" เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่ เกสปุตตนิคมนั้น มีประชาชนมาเฝ้ากันมากคนอินเดียมีเรื่อง แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักบวชนับถือลัทธินิกายใด หรือว่าพวกเขาจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตามแต่พวกเขา ก็อยากจะฟังความรู้ความเข้าใจ และต้องการปัญญา ดังนั้น พวกที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ เป็นพวกที่ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปก็มี พวกที่ไม่นับถือ พุทธศาสนาก็มีพวก ที่สงสัยอยู่ก็มี พวกที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอยู่แล้วก็มี พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ ๑๐ ประการ

  • มา อนุสฺสวเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
  • มา ปรมฺปราย อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
  • มา อิติกิราย อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
  • มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
  • มา ตกฺกเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
  • มา นยเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
  • มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
  • มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
  • มา ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
  • มา สมโณ โน ครูติ อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ ๑๐ ประการนี้
ที่มา :หนังสือความดีเด่นของกาลามสูตร และ คำสดุดีพระพุทธศาสนาของนักปราชญ์ ชาวตะวันตก โดย พระธรรมวิสุทธิกวี วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
จิราภรณ์ กาญจนา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

รักษาผิวให้ผ่องใสอยู่เสมอ

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะเตือนผู้บริโภคว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิถีธรรมชาติๆ มาฝากทุกกคน ดังนี้
1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้น
มาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียก
ว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง
2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย
3. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง
4. สภาพผิว ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้ ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง
ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ
5. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น๑๔
6. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ
:::::::::::::::::::::::::::
โดย วนิดาพร

มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว

มนุษย์ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นอาหาร เป็นยาและเป็นเครื่องสำอาง มานับพัน ๆ ปี ชาวเอเซียและแปซิฟิกที่ใช้น้ำมันมะพร้าวประกอบอาหาร ต่างก็มีสุขภาพดีถ้วนทั่ว โดยไม่ค่อยเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคต่อมลูกหมากโต โรคไขข้อ โรคปวดเมื่อย โรคชราภาพก่อนวัย
โรคผิวหนัง ฯลฯ
การนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้รักษาโรค ทั้งโดยแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน
ในตำราแพทย์แผนไทย มีการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้ประโยชน์ทางยา เช่น
รักษาแผลเรื้อรัง โดยการเอากะลามะพร้าวมาถูตะไบจนได้ผงละเอียด แล้วผสมกับน้ำมันมะพร้าว แทรกพิมเสนเล็กน้อย ทาแผลเรื้อรัง เช้า กลางวัน เย็น ทาบ่อย ๆ
รักษาเกลื้อน โดยเอากะลามะพร้าวแก่จัด ที่มีรู ที่ขูดแล้ว มาใส่ถ่านไฟแดง ๆ จะทำให้เกิดน้ำมันมะพร้าวไหลออกมา เอาน้ำมันนี้มาทาเกลื้อน ทาแล้วทิ้งไว้เจ็ดวันล้างออกยากจะติดแน่นอยู่เกลื้อนจะค่อย ๆ หายไปเอง
แก้ปวดฟัน โดยการเอากะลามะพร้าวแก่จัด ที่มีรู ขูดเอาเนื้อออกใหม่ ๆ ใส่ถ่านไฟแดงลงไป รองน้ำมันมะพร้าวที่ไหลออกมา เก็บใส่ขวดปิดแน่นไว้ ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำมันมะพร้าวอุดรูฟันที่ปวด อย่าให้สัมผัสเหงือก หรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ จะเกิดความชาได้
รักษาเล็บแตก โดยเอาน้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามะพร้าวใส่แผลที่เกิดกับเล็บ เล็บแตก เล็กหลุด แผลที่ซอกเล็บ
รักษาแผลเป็น โดยการใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามะพร้าว เผาไฟถ่าน ทาที่แผล ๆจะหายไปไม่กี่วัน เมื่อแผลหายจะไม่เป็นแผลเป็น
รักษารังแค ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเคี่ยวน้ำกะทิแก่จัด เคี่ยวได้น้ำมันมะพร้าวใหม่ ๆ ปล่อยให้เย็นลง ทาศีรษะ ๓๐ นาที แล้วสระออกด้วยแชมพู ใช้เพียงสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว
รักษาฝ่ามือแห้งแตกและเล็บขบ โดยการใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวใหม่ ๆหรือใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามีรูจากถ่านไฟก็ได้ ทาเช้า กลางวัน เย็น หรือหยอดเล็บขบ จะหายเร็วและไม้ปวด

ผู้ให้ข้อมูล นายบุญเรือง แก้วกันทา หมู่ ๔ ตำบลวังเหนือ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง
๕๒๑๔๐
ผู้สัมภาษณ์ นางสุพัชรีย์ เป็งอินตา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติงานประจำอำเภอวังเหนือ
สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง

มหัศจรรย์ของย่านาง

ย่านาง ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า แม่ย่านางที่ปกป้องรักษาเรือพาหนะสำหรับใช้ในการเดินทางทางแม่น้ำ แต่หมายถึงพืชชนิดหนึ่งที่เราอาจจะใช้เป็นอาหาร หรือ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค ย่านางมีคุณสมบัติมหัศจรรย์ ประโยชน์ของใบย่านางมีมากมาย เช่น ช่วยปรับภาวะไม่สมดุลของร่างกายลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต โรคเก๊าท์ ใช้บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป หรือเป็นผดผื่นคัน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ฯลฯ แต่ในที่นี้ จะขอพูดถึงประโยชน์ ของย่านางในการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วยน้ำใบย่านาง เพื่อช่วยในการเคลือบแผลในกระเพาะอาการและลำไส้ ปรับสมดุลของกระในกระเพาะอาหาร โดยการดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำทุก
วิธีการทำน้ำใบย่านาง เราจะใช้วิธีปั่นในเครื่องปั่น หรือวิธีตำในครกก็ได้ ใช้ใบย่านาง ๓-๑๐ ใบต่อน้ำแก้ว โดยนำเอาใบย่านางไปล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำกับครก ก่อนที่เราจะโขลกใบย่านาง
จะต้องทำความสะอาดครกให้สะอาดเสียก่อน เพื่อจะไม่ทำให้น้ำใบย่านางมีรสเผ็ด หรือรสขม และมีกลิ่น
ของอาหารที่เราใช้ครกตำน้ำพริกหรือตำอย่างอื่นไปก่อนหน้านั้น ดังนั้นทางที่ดีเราควรจะต้องทำความสะอาดครกที่จะใช้ตำให้สะอาด เสร็จแล้วก็นำเอาใบย่านางที่ล้างไว้เรียบร้อยแล้ว มาโขลกให้ละเอียด เสร็จแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เราก็จะได้ใบย่านางเพื่อรับประทาน หากว่าเราต้องการทานน้ำใบย่านางแบบเย็น ๆ เราก็สามารถที่จะนำไป เก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้ หากระยะเวลาที่เราเก็บน้ำใบย่านางเกิน ๒ – ๓ วัน ไปแล้ว ก่อนที่จะดื่มระวังอย่างให้น้ำใบย่านางบูดเพราะน้ำใบย่านาง จะมีรสเปรียวอาจจะทำให้ท้องเสียได้ ถ้าต้องการทราบประโยชน์ของใบย่านางมากกว่านี้ ก็สามารถที่จะหาดูได้จากหนังสือเกี่ยวกับพืชสมุนไพรไทย หรือทาง Internet
------------------------
โดย นางสาวจิราพร มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของชาและโทษของชา

เครื่องดื่มชามีมานานกว่า 4,700 ปี นอกจากดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังช่วยต้านโรคที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เราจะดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ คอลัมน์ “สวยอย่างฉลาด” นิตยสาร “ฉลาดซื้อ” ฉบับล่าสุด มีคำแนะนำ
1. ชาร้อนๆ จะทำให้สารที่เป็นประโยชน์ คือ “คาเทคชินส์” ถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น

2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสาระสำคัญในใบชาไว้ได้ดี แต่หากผ่านการทำให้ร้อนปริมาณสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายเช่นกัน

3. ชาร้อน หรือชาเย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสาระสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

4. ผู้รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วยเพราะสาระสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

5. โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือ “แทนนิน” จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จึงมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ขาดสารอาหาร

6. ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง คือ มีฟลูออไรด์ในปริมาณค่อนข้างสูงทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ถ้าดื่มไม่มากก็ไม่ต้องกังวล

7. ใบชามีสารที่ชื่อว่า “ออกซาเลท” แม้จะมีอยู่น้อย แต่หากดื่มชามากๆ และดื่มบ่อยๆ เป็นประจำ สารนี้จะสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อไต

8. ใบชามีสารกาเฟอีนสูง อาจสูงกว่ากาแฟด้วยซ้ำ เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของกาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมากเพราะฉะนั้น เราจึงควรดื่มชาในปริมาณพอดีๆ

โดย นางสาวเสาวภาคย์ คงแสง นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ
ที่มา :เว็บไซต์ http://www.vcharkarn.com

การประเคนของถวายพระสงฆ์

การยกสิ่งของอันสมควรแก่สมณบริโภคใช้สอยุวายให้แก่ประสงฆ์โดยส่งให้ถึงมือเรียกว่า การประเคน มีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
  1. สิ่งของที่จะประเคนต้องไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไปพอคนขนาดปานกลางคนเดียวยกได้และต้องยกสิ่งของนั้นสูงพ้นจากพื้นที่สิ่งของนั้นตั้งอยู่
  2. ผู้ประเคนต้องเข้ามาอยู่ในหัตถบาส หรือเหยียดแขนออกไปจับสิ่งของได้ อยู่ห่างจากพระภิกษุผู้รับประเคน ประมาณ ๑ ศอก หรือ ๖๐ เซนติเมตร
  3. ผู้ประเคนน้อมสิ่งของนั้นเข้ามาให้ด้วยความเต็มใจ และเคารพต่อพระภิกษุผู้รับประเคน
  4. ผู้ประเคนถ้าเป็นชาย ให้ส่งสิ่งของถึงมือพระภิกษุ ผู้ประเคนถ้าเป็นหญิงให้วางสิ่งของถวายบนผ้าที่พระภิกษุทอดรับ
  5. ถ้าพระภิกษุนั่งอยู่กับพื้น ผู้ประเคนนิยมนั่งคุกเข่าประเคน ถ้าพระภิกษุนั่งเก้าอี้ ผู้ประเคนนิยมยืนประเคน
  6. ภัตตาหารคาวหวานทุกชนิด ที่ประเคนพระภิกษุสงฆ์แล้ว ถ้าคฤหัสถ์ไปจับต้องอีก ต้องยกประเคนใหม่อีกทุกครั้งไป
  7. ในการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์นั้น ให้ประเคนเฉพาะสิ่งของที่จะพึงฉันเท่านั้น ส่วนเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น กระโถน ชาม จาน ช้อน กระดาษ เพียงแต่วางมอบให้ก็พอ
  8. เมื่อประเคนเรียบร้อยแล้วทำความเคารพพระภิกษุสงฆ์ด้วยการกราบ ๓ ครั้ง หรือไหว้ ๑ ครั้ง จึงเสร็จพิธีประเคนพระ
    ----------------------------------------------
    นางสุภาภรณ์ เรือนหล้า
    นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติราชการประจำ
    สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอเถิน

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

น้ำมะขามป้อม – ลูกเกด

มะขามป้อมนั้นแพทย์แผนไทยคุ้นเคยและ ยกย่องว่าเป็นผลไม้อายุวัฒนะอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ มีการศึกษาพบว่ามะขามป้อมมีวิตามินซี สูงมากโดยที่ไม่สลายตัวเมื่อถูกความร้อน (วิตามินปกติจะสลายตัวเมื่อผ่านความร้อน) มะขามป้อมยังมีสรรพคุณแก้ไอขับเสมหะได้ดี ส่วนลูกเกดสีดำนั้นตำราอายุรเวทของอินเดียยกย่องว่า มีสรรพคุณบำรุงร่างกายโดยเฉพาะบำรุงเลือดและแก้ไอแก้หอบหืดได้ดี ที่เอาลูกเกดมาผสมกับมะขามป้อมก็เพื่อ เสริมสรรพคุณบำรุงร่างกายและแก้ไอให้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
น้ำมะขามป้อม - ลูกเกด ส่วนผสม
- ลูกมะขามป้อมแห้ง 1/2 ขีด (50 กรัม)
- ลูกเกดสีดำ 1 ขีด (100 กรัม)
- น้ำตาลทราย 1 1/2 ขีด (150 กรัม)
- น้ำสะอาด 2 แก้ว (1 แก้ว = 250 ซีซี)
- เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
ลูกมะขามป้อมล้างสะอาดทุบพอแหลกต้มรวมกับลูกเกดและน้ำสะอาด 2 แก้ว ต้มให้เหลือน้ำประมาณ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำยา จากนั้นเติมน้ำตาลและเกลือ คนให้ละลาย จะได้น้ำยารสเปรี้ยว หวานและฝาดเค็มเล็กน้อย
สรรพคุณ
ดับกระหาย แก้เจ็บคอ คอแห้ง ทำให้ชุ่มคอ แก้ไอโดยเฉพาะไอแห้ง
น้ำสมุนไพรขนานนี้ถ้าจะใช้แก้ไอควรจิบแบบอุ่นๆ แต่ถ้ารู้สึกรุ่มร้อน คอแห้งหรือกระหายน้ำจะแช่เย็นหรือเติม น้ำแข็งดื่มดับร้อนผ่อนกระหายก็ไม่ผิดกติกาจ้ะ
ลักขณา แสงแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
มูลนิธิสุขภาพไทย 520/1-2 ซ.16 เทศบาลรังรักษ์เหนือ ประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กทม.10900

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

นมแพะสดดีอย่างไร

ศ.นพ.อนุวัตร ลิ้มสุวรรณ จากคณะแพทยศาสตร์
รพ.รามาธิบดี ได้ศึกษาคุณค่าของสารอาหาร และสรรพคุณต่าง ๆ ของนมแพะเทียบกับนมแม่ พบว่านมทั้งสองมีความใกล้เคียงกัน คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้ง ๑๐ ชนิดเหมือนกัน ซึ่งกรดอะมิโน ที่จำเป็นนี้เป็นสารเคมีที่ร่างกายจะเอาไปสร้างโปรตีนในร่างกาย เพื่อซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอ และร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์สารตัวขึ้นมาเองได้ ต้องรับมาจากอาหารเท่านั้นนอกจากนี้นมแพะยังมีไขมันและกรดไขมันที่จำเป็นเหมือนกับนมแม่ โดยจะเป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวและเป็นชนิดสายโซ่แบบสั้น ทำให้กระจายตัวได้ดี ร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดี ร่างกายสามารถดูดซึมนมแพะหมดภายใน ๒๐-๓๐ นาที เปรียบเทียบกับการดื่มนมวัว ๒ ชั่วโมง

รวบรวมโดย นางเครือวัลย์ ธรรมายอดดี
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

ถักข้าวเปลือก

วัตถุประสงค์ของการถักข้าวเปลือก
การถักข้าวเปลือก เป็นเครื่องสักการะพระพุทธเจ้า เชื่อว่าจะได้รับอานิสงค์ผลบุญแห่งการให้ทานในโลกนี้และโลกหน้า ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลจะหลั่งไหลเข้ามาสู่ตนเองอย่างมากมาย รวมทั้งจะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรื่องก้าวหน้า เปรียบประดุจดั่งเมล็ดข้าวเปลือกที่ตกลงบนพื้นดินแห่งใดก็ตาม มักจะเจริญ งอกงามขึ้นมาสร้างความสมบูรณ์พูนสุขให้กับผืนแผ่นดินอย่างทั่วถึง อีกนัยหนึ่งเชื่อว่าข้าวถักใช้ด้ายถักหมายถึงจะได้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่ดี
วัสดุ / อุปกรณ์ในการถักข้าวเปลือก
๑. ข้าวเปลือก
๒. ไม้หน้าสาม
๓. ตะปูตัวโต
๔. ด้ายสีต่าง ๆ
๕. เหรียญต่าง ๆ
วิธีทำ
ใช้ไม้หน้าสามเป็นหลัก มีตะปูตัวโต ๒ ตัวยึดคล้องด้ายเป็นคู่ ๆ สามารถเลือกด้ายตามขนาด และสีตามต้องการเลือกข้าวเปลือกเมล็ดยาวที่มีขนาดเท่ากันเรียงเมล็ดข้าวในทางเดียวกันเป็นคู่เริ่มถักและใส่เมล็ดข้าวไปจนกว่าจะได้ระยะที่ต้องการกับขนาดของเหรียญแล้วจึงนำมาล้อมรอบเหรียญผูกให้แน่นตัดแต่งหางด้ายให้เท่ากัน
การใช้ประโยชน์ ใช้บูชา (ถักข้าวเปลือกล้อมเหรียญพระสำคัญ) นำไปเป็นของที่ระลึก นำไปแขวนหน้ารถยนต์ โดยมีความเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญงอกงาม รุ่งโรจน์



อรทัย ทรงศรีสกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นคุณธรรมประจำใจที่เจ้าหน้าที่ของรัฐพึงยึดถือเพื่อให้การปฏิบัติงานภาครัฐบังเกิดผลตามแนวทางของการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ ที่มุ่งสร้างคุณประโยชน์ สูงสุดให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ คือ
1.กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
  • ดีงาม
  • เสียสละ
  • จรรยา วิชาชีพ
  • ไม่โอนอ่อนต่ออิทธิพล

2.ชื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ

  • ตรงไปตรงมา
  • แยกส่วนตัวออกจากงาน
  • รับผิดชอบต่อประชาชนและองค์กร

3.โปร่งใสตรวจสอบได้

  • ปรับปรุงกลไก
  • ให้ประชาชนตรวจสอบได้
  • เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร

4.ไม่เลือกปฏิบัติ

  • ประหยัด
  • เสมอภาค รวดเร็ว ถูกต้อง
  • ต่อผู้บริการ น้ำใจเอื้อเฟื้อ

5.มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน

  • ทำงานให้เสร็จตามกำหนด เกิดผลดี
  • ใช้ทรัพยากรของราชการให้คุ้มค่า
  • เน้นผลลัพธ์เป็นหลัก

    ค่านิยม คือสิ่งที่บุคคลยึดถือเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ และกำหนดการกระทำของตนเอง “ ยืนหยัด ซื่อสัตย์ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ นัดมุ่งผลสัมฤทธิ์ ”

    องค์ประกอบของจริยธรรม
    1.เป็นข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติ
    2.เป็นสากล
    3.สำคัญเหนือกฎหมาย
    4.เปิดเผย
    5.นำไปสู่การปฏิบัติได้

นายนที เมืองมา
วัฒนธรรมจังหวัดลำปาง

เตือนภัย…..โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

โรคหัวใจและหลอดเลือดครองสถิติ ๑ ใน ๓ อันดับโรคร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด เตือนคนเมืองวัย ๔๐ ปีขึ้นไป กินดีอยู่ดี ทำงานนั่งโต๊ะ ขาดการออกกำลังกาย เครียด โกรธง่าย โอกาสเกิดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสูงกว่าผู้ใช้แรงงาน และเกษตรกร โรคหัวใจขาดเลือดเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการ มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอต่อความต้องการของหัว ใจในขณะนั้น สาเหตุเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใ จแข็งตัว หรือมีไขมันไปเกาะที่ผนังของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง ส่งผลให้ปริมาณเลือดแดงผ่านได้น้อย จึงเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ และหากหลอดเลือดแดงตีบแคบมากจนอุดตัน จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที หรือไม่รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วอาจทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด อาการที่พบมักแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น เจ็บกลางหน้าอก บริเวณเหนือลิ้นปี่ขึ้นมาเล็กน้อย เจ็บแบบจุกแน่น คล้ายมีอะไรมาบีบหรือกดทับไว้ มักเจ็บร้าวไปที่คอ ขากรรไกร หรือไหล่ซ้าย โดยมากมักจะมีอาการขณะออกกำลังกายหรือทำงาน และจะเป็นอยู่นานครั้งละ ๒ - ๓ นาที อาการจะดีขึ้นถ้าได้หยุดพักหรือ อมยาขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ บางรายอาจมีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ เหมือนอาหารไม่ย่อย และบางรายอาจมีอาการใจสั่นหอบเหนื่อยร่วมด้วย ปัจจุบันมีวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดที่ให้ผลค่อนข้างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจโดยการเดินออกกำลังกายบนสายพาน หรือการใส่สายสวนหัวใจทางหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ การฉีดสีดูตำแหน่งการตีบตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ หลังจากทราบผลแล้วแพทย์จะประเมินภาวะความรุนแรงของโรคและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย ได้แก่ ๑. การให้ยาขยายหลอดเลือด มีทั้งชนิดอมใต้ลิ้น ยารับประทาน และการให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำ ๒. การให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกร็ดเลือดแข็งตัว เช่น แอสไพริน ๓. การให้ยาลดการบีบตัวของหัวใจ เพื่อลดการทำงานของหัวใจ และลดการใช้ออกซิเจน ในเบื้องต้น การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ ควบคู่ไปกับการรักษาทางยาส่วนใหญ่มักได้ผลดี แต่ในกรณีที่มีภาวะรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อยา แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาโดยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ หรือผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือด เพื่อให้เลือดเดินทางอ้อมผ่านจุดที่อุดตันโดยใช้เส้น เลือดที่บริเวณแขนหรือ ขา ๑๐ วิธี ที่ควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ดังนี้
๑. รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง
๒. รับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ ๒-๓ ลิตร
๓. รับประทานอาหารแต่พออิ่ม และควรพักหลังอาหารประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง
๔. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ การเดิน เริ่มโดยการเดินช้า ๆ ก่อน
แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทาง แต่อย่าให้เกินกำลังของตนเอง
๕. ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน และหาวิธีลดความเครียด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น เช่น การดูเกมการแข่งขันที่เร้าใจ หรือทำกิจกรรมโลดโผน เป็นต้น
๖. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและเค็มจัด
๗. งดดื่มสุรา ชา กาแฟ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
๘. หลีกเลี่ยงงานหนัก งานรีบเร่ง และงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องนานๆ
๙. เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก ให้หยุดกิจกรรมนั้นๆ ทันที และอมยาใต้ลิ้น ๑ เม็ด ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลงให้อมยาใต้ลิ้นซ้ำได้อีก ๑ เม็ด ห่างกัน ๕ นาที แต่ไม่ควรเกิน ๓ เม็ด หากอาการไม่ดีขึ้นใน ๑๕-๒๐ นาที ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
๑๐. การมีเพศสัมพันธ์ไม่ควรหักโหม ควรอมยาใต้ลิ้นก่อนมีเพศสัมพันธ์ ถ้ามีอาการใจสั่น หายใจขัด หรือเจ็บหน้าอกนานเกิน ๑๕ นาทีหลังมีเพศสัมพันธ์ควรปรึกษาแพทย์
วิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือ
ควรหลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมัน กะทิ รวมทั้งไข่แดง เพราะจะทำให้ไขมันสะสมในหลอดเลือด และก่อให้เกิดแผ่นคราบไขมันตามมาได้ ควรเลือกบริโภคอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ผัก ปลา ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เช่น รำข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี ฯลฯ และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓ ครั้ง นานครั้งละ ๒๐ นาที แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาและความถี่ในการออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะในบุหรี่มีสารนิโคตินและสารอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อผนังบุด้านในหลอดเลือด การสูบบุหรี่ยังทำให้หลอดเลือดหัวใจหดตัว ซึ่งเป็นการลดปริมาณเลือดที่จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดกับงาน และทำสมาธิหรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลาย ก็เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ได้ รวมถึงควรควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนจนเกินไป โดยใช้วิธีออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน ์ เช่น งดขนมหวาน ผลไม้รสหวานจัด เพราะหัวใจของคนอ้วนต้องทำงานมากกว่าปกติ และควรมีการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง แต่ถ้ามีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็น ๆ หาย ๆ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
------------------------------
ทินกร สุริกัน ผอ.กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
ขอขอบคุณ www.junjaowka.com ภัยคนเมือง..........หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

ตำรายา ภูมิปัญญาชาวบ้าน"ประโยชน์มะขามป้อมแก้หวัด "


ผลมะขามป้อมมีสรรพคุณแก้หวัด แก้ไอได้ดี เป็นที่รู้กันในทุกประเทศที่มีมะขามป้อม จนปัจจุบันมีสิทธิบัตรจดในประเทศสหรัฐอเมริกาของตำรับยาที่มีส่วนผสมของ มะขามป้อมอยู่ระบุสรรพคุณในการแก้หวัด
แก้ไข้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากวิตามินซีหรือสาร ในกลุ่มแทนนิน
อาการเป็นหวัด ไอ เจ็บคอ ปากคอแห้ง ให้ใช้ผลสด ๑๕-๓๐ ผล คั้นเอาน้ำ มาจากผล หรือต้มทั้งผลแล้วดื่ม แทนน้ำเป็นครั้งคราว
ไข้จากเปลี่ยนอากาศใช้มะขามป้อมสดตำคั้นน้ำดื่ม จะช่วยลดไข้ได้ ดื่มวันละ ๓-๔ ครั้ง ครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา น้ำคั้นมะขามป้อมเป็นยาเย็นช่วยลดความ ร้อน และระบายความร้อนออกจากร่างกาย โดยช่วยขับปัสสาวะและระบายท้อง ไอ เจ็บคอ เสมหะติดคอ
ตามตำรายาไทยเชื่อว่าของที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิดช่วยละลายเสมหะ และหมอยา พื้นบ้านเชื่อว่ารสเปรี้ยวที่ละลายเสมหะและบำรุงเสียงได้ดีที่สุดคือมะขามป้อม ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าในมะขามป้อมมีสารที่ละลายน้ำได้มีฤทธิ์ละลายเสมหะ และที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีการพัฒนายาแก้ไอมะขามป้อมขึ้นทะเบียนยาเป็นยาแผนโบราณ เป็นที่นิยมของทั้งผู้ใช้ยาและแพทย์ โดยตำรับยาทำได้ง่ายๆเพียงแต่นำมะขามป้อมแห้งมาต้มแล้วแต่งรสมะขามป้อมที่จะนำมากินแก้ไอ เจ็บคอ ควรเลือกลูกที่แก่จัดจนผิวออกเหลืองเมื่อมีอาการเป็นหวัด ไอ ให้นำมะขามป้อมสดมาเคี้ยวอมกับเกลือทุกครั้งที่มีการไอ ถ้าไม่ไอแต่ยังมีไข้อยู่ก็ควรอมมะขามป้อมเพื่อให้ชุ่มคอและขับเสมหะ เป็นการป้องกันการไอได้ด้วย ละลายเสมหะ แก้การกระหายน้ำ ใช้ผลแก่จัด มีรสขม อมเปรี้ยว อมฝาด เมื่อกินแล้วจะรู้สึกชุ่มคอ ใช้สำหรับช่วยละลายเสมหะ กระตุ้นให้เกิดน้ำลาย จึงช่วยแก้การกระหายน้ำได้ดี หรือใช้ผลแห้งประมาณ ๖-๑๐ กรัม ถ้าใช้ผลสดประมาณ ๑๐ กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือคั้นเอาน้ำสำหรับดื่มขับเสมหะ หรือช่วยระบายของเสีย ให้ใช้ผลสด ๕-๑๕ ผล ต้มหรือคั้นน้ำมาดื่ม บำรุงเสียง มะขามป้อมสดสามารถช่วยบำรุงเสียงได้ เพราะเวลาอม มะขามป้อมจะทำให้ชุ่มคอ คอไม่แห้ง เสียงจะสดใส นักร้องสมัยก่อนมักจะเฉือนลูกมะขามป้อมชิ้นหนึ่งมาอมไว้จนร้องเสร็จเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงแห้ง
โดย....นางอาริยา ยิ้มแก้ว

ตำนานการก่อเจดีย์ทราย

ประวัติของการก่อเจดีย์ทรายมีเรื่องเล่ามาว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ ส่วนในอีกตำนานหนึ่งซึ่งอยู่ในคำภีร์ใบลานชื่อ " ธรรมอานิสงส์เจดีย์ทราย "ได้กล่าวไว้ว่า ในครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นชายเข็ญใจชื่อว่า "ติสสะ" มีอาชีพตัดฟืนขาย วันหนึ่งติสสะได้พบลำธารที่มีหาดทรายสะอาดงดงามนัก จึงได้ทำการก่อทรายเป็นรูปเจดีย์และเพื่อให้เจดีย์นั้นสวยงามจึงฉีกเสื้อผูกกับเรียวไม้แล้วปักไว้บนยอดกองทรายเป็นรูปธงสัญลักษณ์ แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เมื่อเขาเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้บำเพ็ญบารมีเต็มที่แล้ว ก็ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าชื่อสมณะโคดมองค์ปัจจุบัน ภาพของธงที่ทำจากเสื้อของติสสะ ทำให้ชาวล้านนานิยมนำตุงไปปักเจดีย์ทราย ซึ่งตุงที่พบเห็นมักเป็นตุงที่มีลักษณะเป็นพู่ระย้าที่เรียก "ตุงไส้หมู" หรือตุงที่มีรูปสัตว์นักษัตรที่เรียกว่า "ตุงตั๋วเปิ้ง" ตุงดังกล่าวมักแขวนติดกิ่งไม้ไผ่หรือก้านเขือง (เต่าร้าง) ในเช้าของวันพญาวันคือวันเถลิงศกชาวบ้านจะนำตุงไปปักที่เจดีย์ทราย พอถึงตอนสายจะมีการถวายองค์พระเจดีย์ทรายแด่พระสงฆ์ ซึ่งชาวบ้านจะมาร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง ด้วยหวังอานิสงส์เป็นหลักซึ่งนอกเหนือจากคัมภีร์ที่กล่าวมา ยังมีคัมภีร์แสดงอานิสงส์โดยตรงที่ชื่อ "ธรรมอานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย" อีกฉบับหนึ่ง โดยเนื้อหาจะกล่าวถึงผลบุญมากมาย เช่น จะได้เกิดในตระกูลอันประเสริฐ เลอเลิศด้วยรูปสมบัติ เรืองจรัสในชีวิต ไม่ตกติดในนรก ยกระดับไปเกิดบนสวรรค์ จนถึงขั้นได้เกิดเป็นพระอินทร์
บุคคลใดได้ก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นทาน ก็มีอานิสงส์มาก ย่อมได้รับสุข ๓ ประการ สุดท้ายก็จะได้พบพระนิพพานฯ บุคคลใดได้ก่อเจดีย์ทรายถวาย ตายไปแล้วย่อมไปเกิดในตระกูลพราหมณ์ และตระกูลกษัตริย์ ประกอบด้วยทรัพย์สมบัติมาก ย่อมได้ไปเกิดในชมพูทวีป บุคคลทั้งหลายนั้นย่อมมีรูปอันงดงาม เมื่อไปเกิดในที่ใด ก็ย่อมเป็นที่รักใคร่ยินดีแก่คน และเทวดาทั้งหลาย ย่อมไม่ไปเกิดในที่ร้าย คือนรกเป็นต้น บุคคลใดได้ประดับช่อธง ฉัตรบูชาเจดีย์ทราย ก็จะได้ไปเกิดเป็นท้าวพญา ประกอบด้วยแก้วทั้ง ๗ ก็ด้วยการสักการบูชาเจดีย์ทราย บุคคลใดได้ก่อเจดีย์ทราย ย่อมมีข้าหญิงชายมาแวดล้อมเป็นบริวาร พ้นจากทุกข์ทุกประการ ได้อยู่ในปราสาทอันงาม มีจาตุรงคเสนามาก ก็ด้วยอานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย บุคคลทั้งหลายทั้งชายหญิงย่อมมีวัวควาย ผ้าผ่อน ผ้าแพร เครื่องบริโภคต่าง ๆ ไปในที่ใดคนและเทวดาก็เคารพบูชา บุคคลทั้งหลายนั้นย่อมไปเกิดในสวรรค์ดาวดึงส์ เป็นจอมเทพได้ ๓๔ ครั้ง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ ๓๔ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในทวีปทั้ง ๔ มีเมืองใหญ่เมืองน้อยเป็นบริวารอันประมาณไม่ได้ เสวยราชสมบัติมาก ก็ด้วยอานิสงส์ก่อเจดีย์ทรายถวายแท้แน่นอน
อรัญญา ฟูคำ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ
ที่มา : http://www.109wat.com/

ดอกไม้ประจำจังหวัดกลุ่มภาคเหนือตอนบน ๑

---------------------------------------
ท่านทราบหรือไม่ว่า นอกจากการแบ่งประเทศไทยออกเป็นภูมิภาคต่าง ๆ ตามทิศที่ตั้งแล้ว ยังมีการแยกย่อยซอยละเอียดออกไปอีกมากมา เช่นจังหวัดลำปางของเรา อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ยังได้มีการซอยย่อยภาคเหนือออกตามเขตการปกครองของกระทรวงมหาดไทยออกเป็น ๔ ประเภท คือ ภาคเหนือตอนบน ๑ ภาคเหนือตอนบน ๒ ภาคเหนือตอนล่าง ๑ ภาคเหนือตอนล่าง ๒ และจังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มภาคเหนือตอนบน ๑ ซึ่งประกอบด้วยจังหวัด เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน
และที่จะเล่าให้ฟังนี้ก็คงจะเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของแต่ละจังหวัด ซึ่งประกอบด้วย
๑. จังหวัดเชียงใหม่ และลำพูน เป็นดอกทองกวาว มีลักษณะทั่วไป คือเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูงประมาณ ๑๐ - ๑๕ เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปทรงไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะกลม หรือเป็นทรงกระบอก ใบประกอบมี ๓ ใบ ขนาดไม่เท่ากัน ใบหนาและมีขน ใต้ใบสีเขียวอมเทา ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง คล้ายดอกถั่ว สีแสดแดงหรือเหลือง มีขน ออกดอก เดือนธันวาคม–มีนาคม ผลเป็นฝักแบน มีขนนุ่ม เมล็ด ๑ เมล็ดอยู่ที่ปลายฝัก การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และสภาพที่เหมาะสมคือการปลูกในดินร่วนซุย และมีแสงแดดจัด
๒. จังหวัดลำปาง เป็นดอกธรรมรักษา มีลักษณะทั่วไป คือเป็นพรรณไม้ล้มลุก อวบน้ำ มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่า เหง้า ลักษณะคล้ายกับกล้วย ลำต้นสูงประมาณ ๑ – ๒ เมตร เจริญเติบโตโดยการแตกหน่อออกมาเป็นกอ ลักษณะใบคล้ายใบกล้วย เรียงสลับกัน มีสีเขียว ผิวเรียบเป็นมัน ขนาดของใบ ขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์ ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ลักษณะช่อดอกตั้งและห้อยลงแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ในแต่ละช่อดอกมี ๔ – ๘ ดอก ดอกมีสีส้ม แดง เหลือง และชมพู ผลคือส่วนของดอกเมื่อแก่ก็จะกลายเป็นเมล็ด การขยายพันธุ์โดยการ เพาะเมล็ด, แยกกอ, เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สำหรับสภาพที่เหมาะสมในการปลูกคือสภาพดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย แสงแดดรำไร จนถึงแสงแดดจัด
๓. จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นดอกบัวตอง มีลักษณะทั่วไป คือเป็นไม้ดอกที่มีอายุยืนยาวหลายปีสามารถสูงได้ถึง ๕ เมตร ออกดอกเป็นช่อเดี่ยวบริเวณปลายกิ่ง มีสีเหลืองคล้าย ดอกทานตะวัน แต่มีขนาดเล็กกว่า ดอกวงนอกเป็นหมัน กลีบดอกเรียวมีประมาณ 12–14 กลีบ ดอกวงในสีเหลืองส้ม เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ใบบัวตองเป็นใบเดี่ยว รูปไข่หรือแกมขอบขนาน มีขนขึ้นเล็กน้อยประปราย ปลายใบเว้าลึก ๓ – ๕ แฉก การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และจะอยู่ได้ดีในสภาพที่แสดงแดดจัด
มันทนา กันสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ
(ที่มา : http://www.panmai.com/PvFlower/Pvflower.htm)

ชุธาตุ หรือ จุ๊ธาตุ

ชุธาตุ คือ องค์เจดีย์ ประจำปีเกิด ตามตำรากล่าวไว้ เมื่อวิญญาณลงมาจากแถนแล้วจะมาพัก
ชั่วคราวอยู่ที่เจดีย์ประจำปีเกิด ก่อนที่จะมาปฏิสนธิที่ครรภ์มารดา
ธาตุ หรือเจดีย์ประจำปีเกิดมี ดังนี้
ปีใจ้ (ภาษาถิ่นล้านนา) ปีชวด, หนู พระธาตุจอมทอง (จังหวัดเชียงใหม่)
ปีเป้า (ภาษาถิ่นล้านนา) ฉลู, วัว พระธาตุช่อแฮ (จังหวัดแพร่)
ปียี (ภาษาถิ่นล้านนา) ขาล, เสือ พระธาตุลำปางหลวง (จังหวัดลำปาง)
ปีเหม้า (ภาษาถิ่นล้านนา) เถาะ, กระต่าย พระธาตุแช่แห้ง (จังหวัดน่าน)
ปีสี (ภาษาถิ่นล้านนา) มะโรง, งูใหญ่ พระพุทธสิหิงค์ หรือเจดีย์วัดพระสิงห์ (จังหวัดเชียงใหม่)
ปีใส้ (ภาษาถิ่นล้านนา) มะเส็ง, งูเล็ก สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ (โพธิคยา)
ปีสะง้า (ภาษาถิ่นล้านนา) มะเมีย, ม้า พระธาตุตะโก้ง (ร่างกุ้ง พม่า)
ปีเม็ด (ภาษาถิ่นล้านนา) มะแม, แพะ พระธาตุดอยสุเทพ (จังหวัดเชียงใหม่)
ปีสัน (ภาษาถิ่นล้านนา) วอก, ลิง พระธาตุพนม (จังหวัดนครพนม)
ปีเล้า (ภาษาถิ่นล้านนา) ระกา, ไก่ พระธาตุหริภุญไชย (จังหวัดลำพูน)
ปีเส็ด (ภาษาถิ่นล้านนา) จอ, หมา พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี (ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์)
ปีไก๊ (ภาษาถิ่นล้านนา) กุน, หมู /ช้าง) พระธาตุดอยตุง (จังหวัดเชียงราย)

ในปัจจุบันมีวัดที่สร้างพระธาตุ หรือ เจดีย์ ๑๒ ราศี ซึ่งเป็นเจดีย์ปีเกิดทั้ง ๑๒ ปี อยู่หลายวัด
การไปกราบไหว้ หรือไปทำบุญไปได้ง่ายและสะดวกไม่ต้องเดินทางไปไกล หรือไปต่างประเทศ เมื่อถึง
วันเกิด หรือครบรอบวันเกิด ผู้ที่มีวันเกิดในปีเกิดนั้น ๆจะไปทำบุญตามวัดที่มีเจดีย์ ๑๒ ราศี และกราบไหว้พระประจำวันเกิดของตนเองเพื่อขอพรให้มีความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต หรือด้านหน้าที่การงานและ
ครอบครัว
การได้ไปนมัสการพระธาตุ หรือเจดีย์ประจำปีเกิดของเราแล้ว มีความเชื่อว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าได้ไปกราบไหว้ตั้งจิตอธิษฐานขอสิ่งใดแล้ว ย่อมเกิดผลสำเร็จเป็นมงคลของชีวิตเป็นความเชื่อของ
ชาวล้านนาที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมา

โดย นางน้ำทิพย์ มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติงานประจำอำเภอเมืองปาน
สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
แหล่งข้อมูล ศรีเลา เกษพรหม. ประเพณีชีวิต คนเมือง. เชียงใหม่: ร.พ.นพบุรี, ๒๕๔๔.

เคล็ดไม่ลับกับน้ำมันงา(ดำ)

ใช้น้ำมันงานประกอบอาหารรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว หลอดเลือดหัวใจตีบตันและอาการท้องผูก
۞ น้ำมันงาใช้ลดการหมักหมมในช่องท้อง โดยทานน้ำมันงาดิบๆ 1 – 2 ช้อนโต๊ะขณะท้องว่าง เพื่อให้ลำไส้ขับสิ่งที่หมักหมมอยู่ออกไป
۞ น้ำมันงา ใช้ทาผมจะทำให้ผมดำเป็นมันวาว ไม่แห้ง แตกปลายและใช้ทาผิว เพื่อให้ความชุ่มชื่น ลดรอยหยาบกร้าน ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง
۞ น้ำมันงาใส่ขิงช่วยบรรเทาปวดเมื่อย โดยใช้ขิงสดขูดละเอียดผสมกับน้ำมันงา ในปริมาณเท่ากัน จุ่มผ้าฝ้ายลงในส่วนผสมนี้ นำมาถูนวดบริเวณที่ปวดเมื่อย
۞ ใช้กระเทียมสับผสมน้ำมันงา รักษาโรคผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน เรื้อนกวาง
ทาบริเวณที่มีอาการ
۞ น้ำมันงาผสมน้ำปูนใส ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบ ปวดร้อนจากน้ำร้อนลวกได้เป็นอย่างดี ใช้น้ำมันงา 1 ส่วน น้ำปูนใส 1 ส่วน ตีให้เข้ากันจนเป็นครีมขาวเอาผ้าขาวบางที่สะอาดจุ่มแล้วแปะไว้บริเวณที่เป็นแผล

งารักษาโรคและป้องกันโรคต่างๆ ดังนี้

۞ โรคหัวใจ ۞ โรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือด,โรคโลหิตจาง
۞ โรคเกี่ยวกับระบบประสาท ۞ อัมพฤกษ์ , อัมพาต
۞ โรคความดันโลหิตสูง ۞ โรคเก๊าท์
۞ โรคข้ออักเสบ,โรคกระดูก ۞ โรคเบาหวาน
۞ โรคตา ۞ โรคหวัด
۞ โรคมะเร็ง ۞ โรคคอพอก ,แก้ท้องผูก
۞ ช่วยขับน้ำนม,ขับปัสสาวะ ۞ โรคนอนไม่หลับ
۞ บำรุงร่างกาย ประสาทและสมอง


************************

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

“คนกับควาย……..”

“ควาย” คำ ๆ นี้อยู่คู่กับบรรพชนคนไทยแท้มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ น่าแปลกใจจังว่า ทำไมถึงได้เอาคำว่าควาย มาเป็นคำด่าคนได้ ทั้ง ๆ ที่ควายเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ในสมัยสงครามควายก็ยังมีโอกาสได้ไปช่วยกอบกู้ชาติด้วยเช่นกัน เมื่อพม่ารุกรานนายทองเหม็นแห่งหมู่บ้านบางระจันก็ขี่ควายออกไปรบ นั่นไง ....ประโยชน์ของควายเห็น ๆ นอกจากงานประจำคือทำนา และงานรอง ก็ยังเป็นพาหนะ ให้เจ้าของได้อยู่สุขสบายขึ้น ควายถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับงานเกษตรกรรมของประเทศไทยมากที่สุด เพราะชาวนานิยม เลี้ยงควายเป็นแรงงานเพื่อไว้ไถนา ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ควายจึงมีประโยชน์หลายประการ สัตว์ที่มีบุญคุณที่อยู่คู่บ้าน คู่เมืองของคนไทย ก็คือ ช้าง ม้า วัว ควาย สัตว์เหล่านี้ได้ใช้ชีวิตอยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทย คำด่าทอเปรียบเทียบว่าโง่เหมือนควาย ซึ่งหากพิจารณากันจริง ๆ แล้วคงไม่สามารถที่จะเอาความโง่เขลาของคนไปเปรียบเทียบกับควาย ได้ เพราะความโง่ของใครก็เป็นคุณสมบัติของคน ๆ นั้น เกี่ยวกับควายตรงไหน... ใครว่าควายโง่ ขอเถียง เพราะเราบอกเขาว่าซ้าย ขวา หยุด (ยอ ๆ ) เขาก็เข้าใจและทำตาม ถึงแม้จะดื้อบ้างก็เถอะ ภาพในอดีตของชาวนาไทยที่กำลังจูงควายเดินอยู่ตามท้องไร่ท้องนา ภาพของควายที่เทียมเกวียนบรรทุกข้าว และสัมภาระในการทำนา เสียงกระดิ่งแขวนคอควาย ยังคงติดตาตรึงใจของคนไทยชนบทอย่างดิฉันอยู่มิรู้ลืม ด้วยเพราะความผูกพันระหว่างคนกับควายนั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะหาคำใดมาเปรียบเทียบได้ ช่วงชีวิตที่คนกับควายเคยกินอยู่ดูแลซึ่งกันและกันนั้น เป็นวิถีชีวิตอันเป็นรากเหง้าของคนไทยมาอย่างยาวนาน มีหลักฐานทางโบราณคดีของไทยที่บ้านเชียงบอกไว้ว่า ชาวนาไทยนำควายมาเลี้ยงตั้งแต่เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ชาวนาไทยกับควายจึงมีประวัติศาสตร์ความผูกพันที่ยาวนาน จนแทบจะกล่าวได้ว่าควายนั้นมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับชาวนาเกินกว่าที่เรียกว่าสัตว์เลี้ยงได้ ในอดีตควายถูกนำมาใช้งานในภาคการเกษตร คือทำไร่ ทำนา อันเป็นภาพที่เราชินตาเมื่อยามที่มองออกไปตามท้องนา จนในระยะหลังเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยมากยิ่งขึ้น การทำนาก็ได้เปลี่ยนจากการที่เคยใช้ควายมาไถนาเป็นเครื่องจักรที่ทันสมัยมากขึ้น คือ รถไถเดินตาม หรือที่รู้จักกันว่า "ควายเหล็ก" ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำนาเพียงเพราะว่ามีความรวดเร็วและสะดวก ควายจากที่เคยเดินอยู่ตามท้องไร่ท้องนากลับกลายเป็นสัตว์ที่ถูกคนมองข้าม จนในระยะหลังบทบาทของควายแทบจะไม่ปรากฏอยู่ในภาคการเกษตรของชาวนาอีกเลย เมื่อควายเกิดการว่างงานขึ้น จึงทำให้ควายจำนวนไม่น้อยได้ผันชีวิตจากท้องไร่นา มาอยู่ในโรงฆ่าสัตว์.......น่าอเนจอนาถใจไหมคะ
ในสมัยก่อนจะไม่มีการฆ่าควายเพื่อกินเนื้อเป็นอาหาร ทุกบ้านจะเลี้ยงดูควายจนมันแก่เฒ่าและปล่อยให้ตายเอง จึงจะยอมชำแหละเนื้อมาเป็นอาหาร ที่ชาวบ้านเรียกว่า “จิ้นควายเฒ่า” แต่เก็บเขาเอาไว้เป็นที่ระลึก แขวนไว้ตามเสาหรือฝาบ้าน ว่าได้เคยช่วยเหลืองานมา ตลอดจนเป็นที่แขวนหมวก และจดจำชื่อไว้ว่าเป็นเขาของควายตัวไหน และเมื่อเสร็จสิ้นฤดูทำนา ก็ยังมีการทำขวัญควาย หรือที่ชาวเหนือเรียกว่า “สู่ขวัญควาย” เป็นการเตือนสติ เตือนใจ ให้คนมีความกตัญญูกตเวทีรำลึกถึงบุญคุณ ของผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ตน ว่าเมื่อได้รับประโยชน์จากผู้อื่นแล้ว ก็มาแสดงการ ตอบแทนบุญคุณที่ผู้อื่นได้ทำแก่ตน อย่างเช่น "ควาย" ซึ่งคนได้ใช้แรงงานในการไถคราด พลิกแผ่นดิน อันเป็นงานหนักให้ เพื่อเราจะได้หว่าน เพาะปลูกข้าวเป็นอาหารเลี้ยงชีพ ซึ่งควายผู้ทำงานหนักก็บริโภคเพียงฟางข้าวเท่านั้น
ปัจจุบันโลกเจริญก้าวหน้า มีวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ สังคมก็เปลี่ยนแปลง รวมทั้งสังคมเกษตรในประเทศไทยจากที่เคยใช้ควายไถนา คราดนา ลากเกวียน นวดข้าว เปลี่ยนเป็น เครื่องจักร เครื่องนวดข้าว บทบาทของควายภาคเกษตรหมดลงโดยสิ้นเชิง “น่าใจใจหาย” บทบาทใหม่ของควายล่ะ คืออะไร…...เป็นอาหารกระนั้นหรือ......จากสัตว์ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ ช่วยเหลืองานทุกครัวเรือนและเราก็เอาใจใส่ เลี้ยงดูมันเป็นอย่างดี สุมไฟให้เพื่อป้องกันยุง หาหญ้า หาน้ำ เพื่อเลี้ยงดู อยู่กินอย่างเป็นเพื่อน ปัจจุบันควายถูกเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจ คือเลี้ยงเพื่อส่งขายให้กับโรงฆ่าสัตว์ไม่มีการชะลอหรือ ละเว้น ควายคงหมดจากประเทศไทยแน่นอน และต่อไปข้างหน้าเด็กรุ่นหลังคงได้รู้จักควายจาก อนุสาวรีย์ หรือรูปภาพเท่านั้น……
---------------------------------
อรัญญา ฟูคำ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ
แหล่งอ้างอิง : หนังสือเรื่อง ควาย , ศรีจันทรัตน์ กันทะวัง สู่ขวัญควาย
ภาพประกอบ : oknation.net

ข้อแนะนำในการใช้ไฟฟ้า

  1. อย่าใช้สวิตช์ปิดเปิดไฟฟ้าแบบชั่วคราว เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
  2. อย่าติดตั้งหลอดไฟฟ้าไว้ติดกับผ้าม่านหรือใช้ผ้าคลุมหลอดไฟฟ้าไว้ เพราะความร้อนจากหลอดอาจทำให้ผ้าติดไฟ เกิดเพลิงไหม้ได้
  3. อย่าเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียกหรืออยู่ในที่ชื้นแฉะ
  4. ฉนวนครอบสวิตช์หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ แตกชำรุด ควรซ่อมแซมให้เรียบร้อย
  5. ควรต่อสายที่ครอบโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าลงดิน
  6. อย่าใช้ขั้วต่อแยกเสียบปลั๊กหลายทางเป็นการใช้กระแสไฟฟ้าเกินกำลัง จะทำให้สายที่เต้าเสียบร้อนชำรุดหรือเกิดเพลิงไหม้ได้
  7. อย่าปล่อยให้สายเครื่องใช้ไฟฟ้า ลอดใต้เสื่อหรือพรม หรือปล่อยให้ของหนักผ่านทับสาย เพราะอาจทำให้ฉนวนแตกชำรุด
  8. อย่าเดินสายไฟฟ้าเป็นการชั่วคราวอย่างลวก ๆ อาจมีใครถูกไฟฟ้าที่จุดบกพร่องได้รับอันตรายได้
  9. อย่าใช้ลวดทำราวตากผ้าขึงผ่านหรือพาดสายไฟฟ้า
  10. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ภายนอกอาคารควรเป็นชนิดกันน้ำได้
  11. อย่าปล่อยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเปียกน้ำ
  12. ติดตั้งเสาอากาศทีวี ต้องห่างสายไฟฟ้าไม่น้อยกว่า ๓ เมตร หรือระยะเสาล้มแล้วต้องไม่โดนสายไฟ
  13. เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ถ้ามีกระแสรั่วไหลต้องซ่อมทันที
  14. อย่าใช้น้ำมันไวไฟล้างเครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะที่ยังเสียบปลั๊กอยู่
  15. ห้ามปิดหรือเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด เมื่อเกิดมีการรั่วไหลของก๊าซหุงต้มภายในบ้าน
  16. อย่าดึงปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ในขณะที่เครื่องยังทำงาน ควรปิดสวิตช์ก่อนดึงปลั๊กออกเสมอ
  17. อย่าใช้ไฟฟ้าจับปลา จะถูกกระแสไฟฟ้าดูดถึงชีวิต
  18. อย่าแก้ไขไฟฟ้าเองโดยไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้า

โดย นางลัดดา คิดอ่าน อำเภอเกาะคา

ของที่จำเป็นในการถวายสังฆทาน

ผลการสำรวจรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นในชุดสังฆทาน โดยนิตยสาร “ฉลาดซื้อ” จากการสอบถามความคิดเห็นของพระภิกษุสงฆ์ในการใช้ข้าวของเครื่องอุปโภค บริโภคที่บรรจุมาในชุดสังฆทาน พบว่าส่วนใหญ่เป็นของที่ไม่จำเป็นและมีประโยชน์น้อย ซึ่งของใช้ในชุดสังฆทานเหล่านี้มีจำนวนเกินพอแล้วในวัด การสำรวจครั้งนี้พระสงฆ์ยังได้นำเสนอสิ่งของ ๑๐ รายการที่พุทธศาสนิกชนอาจจะนึกไม่ถึงว่ามีความจำเป็นสำหรับการถวายสังฆทาน คือ

  1. ยาสระผม คนมักคิดว่าพระไม่มีผม ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสระผมแต่จริง ๆ แล้วจำเป็น เพราะส่วนหนึ่งอาจมีคราบไคลและไขมันที่เกาะสกปรกตามหนังศีรษะอยู่บ้าง
  2. มีดโกน ใบมีดโกน พระได้ใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
  3. อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่มีคุณภาพ พระสามารถใช้เป็นของส่วนตัวและเอื้อเฟื้อสำหรับญาติโยที่มาทำบุญได้ด้วย
  4. อุปกรณ์ช่าง ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ที่พระมีโอกาสได้ใช้ในการซ่อมแซม
    ต่าง ๆ ในวัดและกุฏิ
  5. อุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ เป็นอุปกรณ์จำเป็น แต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
  6. ข้าวสาร อาหารแห้ง เลือกที่คุณภาพดีไม่ใช่ที่บรรจุในถังสังฆทานที่มักใช้ไม่ได้ ส่วนนี้จะได้ใช้ในการบริจาคหรือนำไปอุปการะผู้ยากไร้ที่มาพึ่งใบบุญของวัดได้ด้วย
  7. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ
  8. หนังสือธรรมะหรือหนังสือแนวทางการดูแลสุขภาพ
  9. ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่คุณภาพดี
  10. ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิต หรือมีตราองค์การอาหารและยารับรอง มีฉลากควบคุมระบุวันเดือน ปี ที่หมดอายุ
  • โดย.. พรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553


ประกาศสงกรานต์ปีพุทธศักราช 2553
ปีขาล (เทวดาผู้หญิงธาตุไฟ) โทศก จุลศักราช 1372 ทางจันทรคติเป็นอธิกมาส (ปีทางจันทรคติที่มีเดือน 8 สองหน) ทางสุริยคติเป็นปกติสุรทินวันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันพุธ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 เวลา 07 นาฬิกา 19 นาที 19 วินาทีนางสงกรานต์ทรงนามว่า มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนม เนย พระหัตถ์ขวาทรงเหล็กแหลม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จยืนมาเหนือหลังคัสพะ (ลา)
เป็นพาหนะวันที่ 16 เมษายน เวลา 11 นาฬิกา 18 นาที 36 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่เป็น 1372 ปีนี้
วันอังคารเป็นธงชัย วันพฤหัสบดีเป็นอธิบดี วันจันทร์เป็นอุบาทว์ วันเสาร์เป็นโลกาวินาศปีนี้ วันอังคารเป็นอธิบดีฝน บันดาลฝนให้ตก 300 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 30 ห่า ตกในมหาสมุทร
60 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 90 ห่า ตกในเขาจักรวาล 120 ห่า นาคให้น้ำ 7 ตัวเกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ 5 ชื่อวิบัติ ข้าวกล้าในภูมินาจะเกิดกิมิชาติ (ด้วงกับแมลง) จะได้ผลกึ่ง เสียกึ่งเกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีเตโช (ไฟ) น้ำน้อย
คำทำนายโบราณ
วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันพุธ วันเนาตรงกับวันพฤหัสบดี วันเถลิงศกตรงกับวันศุกร์ ทำนายว่า
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ ผลไม้จะแพง พ่อค้าคหบดีจะทำมาค้าขึ้น มีผลกำไรมาก นางสงกรานต์ยืนมา จะทำให้เกิดความเดือดร้อนเจ็บไข้
คำทำนายล้านนา
ถ้ามหาสงกรานต์ตรงกับวันพุธ ปีนั้นฝนบ่ตกทั่วเมือง หัวปีมีมาก กลางปีน้อยข้าวในนาจะได้ครึ่งเสียครึ่ง ของบริโภคจะแพง ขุนนางขุนเมืองจะตกต่ำ คนเกิดวันศุกร์มีเคราะห์ คนเกิดวันจันทร์และวันเสาร์มีโชค