“ข้าวแคบ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่า คือ "ข้าวเกรียบที่มีรสเค็ม ๆ อย่างข้าวเกรียบกุ้ง" เป็นภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ "ข้าวแคบ"เป็นของกินชนิดหนึ่งที่ทำด้วยแป้งข้าวเจ้า หรือข้าวเหนียว เป็นแผ่นตากให้แห้ง
“ข้าวแคบ” มีอยู่ ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งทำจากแป้งข้าวเจ้า จะเป็นแผ่นบางๆ รสจืด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖ นิ้ว อีกชนิดหนึ่งทำจากแป้งข้าวเหนียวเป็นแผ่นหนากว่ามีรสเค็มและมีขนาดเล็กกว่า มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓ นิ้ว ปัจจุบันผู้ทำข้าวแคบบางคนอาจปรุงรส เผ็ด เค็ม เปรี้ยว หรือ หวานเล็กน้อย ลงไปก่อนที่จะทำให้สุกเป็นแผ่น

วิธีทำข้าวแคบข้าวเหนียว
๑. ล้างข้าวสารเหนียวให้สะอาด แช่ไว้ 1 คืน๒. ล้างข้าวสารเหนียวที่แช่แล้วอีกครั้งหนึ่ง และนำมาโม่ด้วยโม่หิน จะได้แป้งสำหรับทำข้าวแคบ
๓. ผสมงาดำและเกลือลงในน้ำแป้ง คนให้เกลือละลาย
๔. การเตรียมเตาและหม้อ(ถ้าเป็นหม้อดินจะดีกว่า) ตั้งเตา(เตาถ่ายจะดีมาก)ตั้งหม้อใส่น้ำ วางหม้อ เติมน้ำ ปากหม้อขึงผ้าขาวบางให้ตึง ตั้งไฟจนน้ำเดือดให้มีไอน้ำผ่านขึ้นมา เจาะรูผ้าขาวบางปากหม้อประมาณ ๒ นิ้ว เพื่อให้ไอน้ำผ่าน
๕. ละเลงแป้งลงบนผ้าเป็นแผ่นวงกลมตามที่ต้องการ พอแป้งสุก ใช้ไม้พายช้อนขึ้น
๖. วางแป้งลงบนแผ่นหญ้าคา ทำต่อเรื่อยๆ จนเต็ม ตากแดดให้แห้ง ประมาณ 2 วัน
การทานข้าวแคบ มีวิธีการที่ง่าย ๆ ด้วยการนำข้าวแคบที่ทำเสร็จแล้ว มาย่างไฟอ่อน ๆ จนเหลืองพองาม กินเป็นอาหารว่างหรือรองท้องก่อนถึงเวลาอาหารมื้อหลัก บางแห่งเข้าอาจจะไม่ย่างแต่นำไปทอดก็ได้แล้วแต่สะดวกนะครับ
เคล็ดไม่ลับในการปรุง ๑. การใช้แผ่นหญ้าคา วางข้าวแคบที่ละเลงสุกใหม่ ทำให้แป้งข้าวแคบแกะออกได้ง่าย๒. ข้าวเหนียวที่ใช้เป็นข้าวเม็ดหัก หรือเรียกว่า “ข้าวต่อน” จะทำให้โม่ละเอียดง่าย
เกร็ดความรู้ภูมิปัญญา
สำหรับผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงอยู่ไฟจะนิยมกินข้าวแคบเป็นอาหาร หลักด้วยมีความเชื่อว่า ข้าวแคบเมื่อทานแล้วจะไม่เกิดผลข้างเคียงในขณะอยู่ไฟ
ครับทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวของ“ข้าวแคบ”ขนมอาหารว่างที่ของล้านนาครับ ครั้งต่อไปจะเป็นอะไรโปรดติดตามกันต่อนะครับ
สวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ
แหล่องอ้างอิง
รัตนา พรหมพิชัย. (2542). ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ
เว็บไซต์ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เว็บไซต์ของศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่







ภาพในอดีตของชาวนาไทยที่กำลังจูงควายเดินอยู่ตามท้องไร่ท้องนา ภาพของควายที่เทียมเกวียนบรรทุกข้าว และสัมภาระในการทำนา เสียงกระดิ่งแขวนคอควาย ยังคงติดตาตรึงใจของคนไทยชนบทอย่างดิฉันอยู่มิรู้ลืม ด้วยเพราะความผูกพันระหว่างคนกับควายนั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะหาคำใดมาเปรียบเทียบได้ ช่วงชีวิตที่คนกับควายเคยกินอยู่ดูแลซึ่งกันและกันนั้น เป็นวิถีชีวิตอันเป็นรากเหง้าของคนไทยมาอย่างยาวนาน มีหลักฐานทางโบราณคดีของไทยที่บ้านเชียงบอกไว้ว่า ชาวนาไทยนำควายมาเลี้ยงตั้งแต่เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ชาวนาไทยกับควายจึงมีประวัติศาสตร์ความผูกพันที่ยาวนาน จนแทบจะกล่าวได้ว่าควายนั้นมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับชาวนาเกินกว่าที่เรียกว่าสัตว์เลี้ยงได้ ในอดีตควายถูกนำมาใช้งานในภาคการเกษตร คือทำไร่ ทำนา อันเป็นภาพที่เราชินตาเมื่อยามที่มองออกไปตามท้องนา จนในระยะหลังเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยมากยิ่งขึ้น การทำนาก็ได้เปลี่ยนจากการที่เคยใช้ควายมาไถนาเป็นเครื่องจักรที่ทันสมัยมากขึ้น คือ รถไถเดินตาม หรือที่รู้จักกันว่า "ควายเหล็ก" ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำนาเพียงเพราะว่ามีความรวดเร็วและสะดวก ควายจากที่เคยเดินอยู่ตามท้องไร่ท้องนากลับกลายเป็นสัตว์ที่ถูกคนมองข้าม จนในระยะหลังบทบาทของควายแทบจะไม่ปรากฏอยู่ในภาคการเกษตรของชาวนาอีกเลย เมื่อควายเกิดการว่างงานขึ้น จึงทำให้ควายจำนวนไม่น้อยได้ผันชีวิตจากท้องไร่นา มาอยู่ในโรงฆ่าสัตว์.......น่าอเนจอนาถใจไหมคะ