วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

พิธีสืบชะตาคน


พิธีสืบชะตาคนจะจัดทำในโอกาสต่าง ๆ กัน เช่น ขึ้นบ้านใหม่ ภายหลังจากการเจ็บป่วย หรือทำในโอกาสที่หมอดูทำนายทายทักว่าดวงชะตาไม่ดี บางครั้งทำเพื่อสะเดาะห์เคราะห์ ภายหลังจากประสบเคราะห์กรรม เมื่อสืบชะตาแล้วเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างดวงชะตาให้ดีขึ้น อีกทั้งเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจของผู้ที่ประสบจากเคราะห์กรรมหรือผู้เจ็บป่วย ให้กลับคืนสภาพปกติ สถานที่ประกอบพิธีใช้บริเวณบ้านของผู้ที่จะสืบชะตา โดยจะใช้ห้องโถง ห้องรับแขก ลานบ้าน ก็ได้ สำหรับสิ่งของที่ต้องใช้
๑. ไม้ง่ามขนาดเล็กนำมามัดรวมกัน มีจำนวนมากกว่าอายุผู้สืบชะตา ๑ อัน
๒. ไม้ค้ำศรียาวเท่ากับความสูงของผู้เข้าพิธี ๓ ท่อน
๓. กระบอกข้าว กระบอกทราย กระบอกน้ำ
๔. สะพานลวดเงิน - ทอง เบี้ยแถว (ใช้เปลือกหอยแทน )
๕. หมากแถว มะพร้าวอ่อน กล้วย อ้อย หมอน เสื่อ ดอกไม้ธูปเทียนและมีเทียนชัยเล่มยาว ๑ เล่ม
การจัดสถานที่ ใช้ไม้ค้ำศรีทำเป็นกระโจมสามเหลี่ยม ตรงกลางเป็นที่ว่างสำหรับวางสะตวงและสิ่งของเครื่อใช้ในพิธี จัดที่ว่างใกล้ ๆ กระโจมให้เป็นที่นั่งสำหรับผู้เข้าไปรับการสืบชะตา แล้ววนด้านสายสิญจน์ 3 รอบ โยงกับเสากระโจมทั้งสามขา แล้วนำไปพันรอบพระพุทธรูป และพระที่สวดทำพิธี โดยปกติการสืบชะตาคนโดยทั่วไปใช้พระสงฆ์ประกอบพิธี ๙ รูป ส่วนการการสืบชะตาคนพร้อมกับขึ้นบ้านใหม่ใช้พระ ๕ รูปขึ้นไป เพื่อสวดพระปริตร สวดชยันโต ให้ศีลให้พร ฟังเทศน์ สังคหะ และเทศน์สืบชะตา ตัวแทนที่เข้าไปนั่งในสายสิญจน์คือผู้นำครอบครัวหรือผู้ที่อาวุโสสูงสุดในครอบครัว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและครอบครัว

ที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดแพร่
โดย...สุภาภรณ์ เรือนหล้า นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

สมุนไพรมหัศจรรย์...มะตูม


สมุนไพรเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านศึกษาอย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่การปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพกาย ใจ อย่าง น้ำมะตูม เครื่องดื่มประจำครอบครัวของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย จึงถือได้ว่า มะตูม เป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้ และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย
มะตูมเป็นไม้ยืนต้น โดยมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างและใช้เรียกกันแตกต่างไป เช่น ตูม ตุ่มตัง กะทันตาเถร (ปัตตานี) มะปิน (เหนือ) บักตูม หมากตูม (อีสาน) สำหรับผู้ที่รักและห่วงใยสุขภาพเท่านั้น ซึ่งนิยมนำมะตูมแว่นมาต้มเป็น น้ำมะตูม ที่มีกลิ่นหอม สำหรับดื่มให้ชื่นใจ แก้กระหายน้ำ แถมยังให้คุณค่าอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น เปลือกของรากและลำต้นของมะตูม สามารถลดไข้ และใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมในลำไส้ ราก แก้พิษฝี พิษไข้ รักษาน้ำดี ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ให้เอาใบมะตูมดิบๆ มาคั้นเอาน้ำเพื่อดื่ม ช่วยบรรเทาอาการไอและเสมหะเรื้อรังลงได้มี
ผลมะตูม ผลอ่อนที่มีสีเขียว ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขับลมในท้อง ผลแก่แก้เสมหะ ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถเอาผลสุกมาชงดื่มเป็นยาแก้ร้อนใน หรือ เอามะตูมตากแห้งมาต้มเป็นชาสมุนไพรก็จะได้ผล็อย่างเดียวกัน นอกจากนี้ ผลดิบแห้งยังใช้แก้บิด และแก้ท้องเสียในเด็กได้ด้วย ส่วนผลสุกนั้นกลับเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหารได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก
การดื่ม น้ำมะตูม เย็นๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มขุ่นมัวของคุณเย็นลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พร้อมเติมพลังให้กับร่างกายในยามที่อ่อนล้า คนโบราณยังเชื่ออีกว่าว่า มะตูม เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถทำให้เกิดกำลังใจ และความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้ มะตูม ยังมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และพิธีมงคลของไทย อย่างเช่น เวลาเข้ากราบบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินไปรับราชการ หรือ ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ก็จะได้รับพระราชทานใบมะตูมเป็นสิริมงคล
งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี อีกทั้ง มะตูม ยังช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย

โดย....ลักขณา แสงแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

รู้จัก ของไหว้สารทจีน วันสารทจีน


สารทจีน หรือ วันสารทจีน ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 24 สิงหาคม 2553 ตามปฏิทินจีนโบราณ เดือน 7 ถือเป็นเดือนสำคัญที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และยังเป็นเวลาที่ประตูนรกเปิดให้บรรดาภูตผีออกเร่ร่อนตามสถานที่ต่างๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้อาถรรพ์ ชาวจีนจึงมีการเซ่นไหว้ด้วยของไหว้ สารทจีน หลากความหมาย ที่ปฏิบัติสืบกันมาเนิ่นนานใน..เทศกาลวันสารท ทั้งนี้ ในรอบหนึ่งปี คนจีนจะมีไหว้เจ้าใหญ่ 8 ครั้ง เรียกว่าไหว้ 8 เทศกาลโป๊ะโจ่ย การไหว้เจ้า สารทจีน หรือ วันสารทจีน ถือเป็นการไหว้ครั้งที่ 5 ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ซึ่งถือกันว่าเป็นเดือนผี เป็นเดือนที่ประตูนรกปิดเปิดให้ผีทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้ ตำราจีนหนึ่งกล่าวไว้ว่า วันที่ 15 เดือน 7 เป็นวันที่เช็งฮีไต๋ตี๋จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์ และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้าย จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ นรก..จึงเปิดประตู เพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญได้ ในวัน สารทจีน นั่นเอง
การไหว้ในเทศกาล สารทจีน ต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ ตรงที่แบ่งการไหว้ สารทจีน ออกเป็น 3 ชุด ดังนี้ ของไหว้ สารทจีน ชุดแรก สำหรับไหว้เจ้าที่ จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมไหว้ สารทจีน ก็ใช้ ถ้วยฟู กุ้ยไช่ ซึ่งต้องมีสีแดงแต้มเป็นจุดเอาไว้ ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมีซึ่งเป็นประเพณีของ สารทจีน คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงิน กระดาษทอง
ของไหว้ สารทจีน ชุดที่สอง สำหรับไหว้บรรพบุรุษ คล้ายของไหว้เจ้าที่ พร้อมด้วยกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียม สารทจีน ต้องมีน้ำแกง หรือขนมน้ำใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชา จัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ และที่ขาดไม่ได้ในเทศกาล สารทจีน ก็คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง
ของไหว้ สารทจีน ชุดที่สาม สำหรับไหว้วิญญาณพเนจร ซึ่งไม่มีลูกหลานกราบไหว้ เรียกว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ จะต้องไหว้นอกบ้าน ของไหว้ สารทจีน มีทั้งของคาวหวานกับผลไม้ตามต้องการ และที่พิเศษคือ มีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองจัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้ ในวัน สารทจีน
ข้อความข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระเจ้าใกล้ตัว ที่หลายท่านคุ้นเพราะเคยได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวจากผู้เฒ่าผู้แก่มาตั้งแต่เด็ก ในเชิงของตำนานพื้นบ้านที่มีอภินิหารผสมอยู่ด้วย เล่าสู่กันฟังเพื่อความสนุก จึงอยากเชิญให้ท่านลองทำความรู้จักกับพระเจ้าองค์เดิมที่นับถือมานาน รวมถึงพระเจ้าองค์อื่นๆ ที่เหลือในแง่มุมที่มีหลักฐานอ้างอิงได้ ตลอดจนสถานะของเทพแห่งโชคลาภ เผื่อการไหว้พระไหว้เจ้าใน สารทจีน จะมีคุณค่า และความหมายยิ่งขึ้น ที่สำคัญ สารทจีน สะท้อนให้คนเราเห็นว่า เมื่อมีชีวิตอยู่ควรกระทำตัวให้เป็นบรรพบุรุษที่ดี ให้ลูกหลานเคารพ และกราบไหว้บูชาแม้ยามจากไป ยังดีกว่าจะรอให้คนทั่วไปมาเซ่นไหว้ไหว้ตามข้างทาง ขึ้นอยู่ที่ว่า..คุณจะเลือกเป็นบรรพบุรุษแบบไหน
ที่มา : hilight.kapook.com/view/14824
โดย......จิราภรณ์ กาญจนา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ปฐมเหตุ ของประเพณีการทอดกฐินเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล


"""""""สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระภิกษุชาวปาไฐยรัฐจำนวน ๓๐ รูป ล้วนถืออารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติกธุดงค์ และเตจีวริกธุดงค์เดินทางไปพระนครสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษา แต่ไม่สามารถที่จะเดินทางให้ทันวันเข้าพรรษาในพระนครสาวัตถีได้ จึงจำพรรษา ณ.เมืองสาเกต ครั้นล่วงไตรมาส ภิกษุเหล่านั้นออกพรรษาทำปวารณาเสร็จแล้วจึงออกเดินทางต่อเพื่อไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ พระเชตวัน เขตพระนครสาวัตถี เมื่อฝนยังตกชุกพื้นภูมิภาคเต็มไปด้วยน้ำจึงเป็นหล่มเลน พระภิกษุเหล่านั้นมีจีวรที่เก่าคร่ำคร่าเปียกชื้นด้วยน้ำฝนและเปื้อนโคลน เดินทางไปจนถึงพระนครสาวัตถีด้วยความลำบาก พระพุทธเจ้าจึงทรงถือเอาเหตุการณ์นี้เป็นมูลเหตุ ทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุที่จำพรรษาครบสามเดือนกรานกฐินได้ และให้ได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. เที่ยวไปได้โดยไม่ต้องบอกลา

๒. จาริกไปโดยไม่ต้องเอาผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ

๓. ฉันอาหารเป็นหมู่คณะได้

๔. เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา

๕. จีวรอันเกิดในกฐินกาลเป็นของเธออานิสงส์นี้อยู่ในช่วงเวลา ๑ เดือน โดยนับตั้งแต่วันออกพรรษาแล้วเท่านั้น

""""""""ในปัจจุบันนี้ พิธีทอดกฐินส่วนใหญ่เป็นการหาเงินเข้าวัด โดยมีผ้าไตรสำรับหนึ่งเป็นหลักเพื่อใช้ในพิธีการ ส่วนเงินที่ได้ก็จะนำไปใช้ทะนุบำรุงในกิจการพระพุทธศาสนา เช่น สร้างโบสถ์ วิหาร ฯลฯ. ซึ่งก็เป็นอานิสงส์เป็นบุญกุศลแก่ผู้มาร่วมงาน แต่พิธีกฐินนี้ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ใช้ในกิจของสงฆ์เท่านั้น จะใช้ในกิจภายนอกพระพุทธศาสนา เช่น กฐินช่วยเด็กยากจน กฐินสร้างโรงเรียน กฐินใช้หนี้ครู กฐินช่วยใช้หนี้ชาวไร่ชาวนา หรือกฐินช่วยชาติไม่ได้ เนื่องจากผิดวัตถุประสงค์ เพราะทายกทายิกามีความประสงค์ที่จะถวาย แก่สงฆ์ผู้ทรงศีลในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

โดย...... สุพัชรีย์ เป็งอินตา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

นุ่งผ้าใหม่วันไหนดี


สมัยก่อนโบราณเค้าจะถือเรื่องฤกษ์ยามวันเวลามาก นุ่งผ้าใหม่ ก็ต้องมีวันที่ใช้นุ่งครั้งแรก มีดังนี้ นะคะ

  • วันอาทิตย์ ชนะศัตรู
  • วันจันทร์ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
  • วันอังคาร มีทุกข์ เกิดศัตรู โดนทำร้าย เสียเลือด เสียเนื้อ
  • วันพุธ มีความสุขมาก
  • วันพฤหัส เป็นสวัสดิ์มงคล
  • วันศุกร์ มีลาภ มีทรัพย์มาก
  • วันเสาร์ มีทุกข์ มีโศก เกิดโรค ภัยต่างๆ

วันที่ตัดผม

  • วันอาทิตย์ อายุยืน
  • วันจันทร์ มีลาภ
  • วันอังคาร เกิดศัตรู โดนทำร้าย เสียเลือด เสียเนื้อ
  • วันพุธ มีปากเสียง เกิดการทะเลาะวิวาท ผิดสัญญา
  • วันพฤหัส เทวดารักษา
  • วันศุกร์ มีลาภ
  • วันเสาร์ สรรพประสิทธิ์ ดีแล
    โดย.......น้ำทิพย์ มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ประโยชน์ของกุยช่าย


ทราบหรือไม่ว่าผักกุยช่ายมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เรามี เรื่องนี้มาบอก

๑. แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

๒. แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

๓. แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

๔. รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

๕. บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

โดย.........อาริยา ยิ้มแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
วันกับเดือนที่ห้ามตั้งศาล
โดย...วีรพันธ์ นันเพ็ญ (หนานนันท์)
เดือน ๑ (อ้าย) ห้ามตั้งศาล วันพฤหัสบดี และ วันเสาร์
เดือน ๒ (ยี่) ห้ามตั้งศาล วันพุธ และวันศุกร์
เดือน ๓ ห้ามตั้งศาล วันอังคาร
เดือน ๔ ห้ามตั้งศาล วันจันทร์
เดือน ๕ ห้ามตั้งศาล วันพฤหัสบดี และ วันเสาร์
เดือน ๖ ห้ามตั้งศาล วันพุธ และวันศุกร์
เดือน ๗ ห้ามตั้งศาล วันอังคาร
เดือน ๘ ห้ามตั้งศาล วันจันทร์
เดือน ๙ ห้ามตั้งศาล วันพฤหัสบดี และ วันเสาร์
เดือน ๑๐ ห้ามตั้งศาล วันพุธ และวันศุกร์
เดือน ๑๑ ห้ามตั้งศาล วันอังคาร
เดือน ๑๒ ห้ามตั้งศาล วันจันทร์

สำหรับในวันอาทิตย์นั้น ไม่มีการห้ามแต่ประการใด จะตั้งหรือจัดทำได้ตลอดทุกเดือนหรือตลอดทั้งปี แต่ก็ต้องตรวจดูให้ดีเสียก่อน ถ้าหากว่าในปีใด วันอาทิตย์ตรงกับวันอุบาทว์ หรือวันโลกาวินาศ ก็จงงดไว้ก่อน
แต่บางคนก็ยังเข้าใจกันว่า วันอาทิตย์นั้นเป็นวันที่ร้อนแรงมากที่สุด กลัวว่าเมื่อตั้งหรือจัดทำลงไปแล้ว จะมีแต่เรื่องเดือดร้อนอยู่เป็นนิจ จึงไม่นิยมที่จะทำกันในวันนี้ แต่ผู้ที่ทำงานตามภารกิจหน้าที่ อาจมีเวลาว่างเพียงวันอาทิตย์ เพียงวันเดียวก็ทำหรือตั้งได้ แต่หมอผู้ตั้งจะต้องทำพิธีแก้ไข สิ่งที่มีความร้อนแรงนี้ให้กลายเป็นเย็นสบาย ด้วยเวทมนตร์ คาถาอาคม แก้เคล็ดให้ถูกวิธี ก็จะสมบรูณ์พูนผลร่ม เย็นสบาย และ มั่งมีศรีสุขขึ้นตามลำดับ

วันที่เป็นมงคลในการตั้งศาล
จะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมของทุกเดือนก็แล้วแต่ต้องคำนวณออกฤกษ์ให้ตรงกับวันที่ต้องห้าม แล้วจงนำเข้ามาผสมประสานกับวันที่เป็นมหามงคลที่ได้เลือกสรร และ คำนวณไว้แล้ว ว่าเป็นวันที่ดีที่สุดตลอดปี
ข้างขึ้น ๒ ค่ำ ๔ ค่ำ ๖ ค่ำ ๙ ค่ำ และ ๑๑ ค่ำ เป็นวันมงคล
ข้างแรม ๒ ค่ำ ๔ ค่ำ ๖ ค่ำ ๙ ค่ำ และ ๑๑ ค่ำ เป็นวันมงคล เช่นกัน

สมุนไพรไทยน่ารู้ขมิ้นชัน

""""""""ชื่อท้องถิ่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว (เชียงใหม่),หมิ้น (ภาคใต้) ลักษณะ พืชล้มลุกมีเหง้าอยู่ใต้ดินเนื้อในของเหง้า ขมิ้นชันสีเหลืองเข้มจนสีแสดจัด มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบรูปเรียวยาว ปลายแหลมคล้ายใบพุทธรักษา ดอกออกเป็นช่อ มีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ออกตรงกลางระหว่างใบคู่ในสุด ดอกสีขาว มีแถบสีเหลืองคาด มีกลีบประดับสีขาวหรือเขียวการปลูก ขมิ้นชันชอบอากาศค่อนข้างร้อน และมีความชุ่มชื้นในเวลากลางคืนชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี วิธีปลูกใช้เหง้าแก่ ที่อายุ 11-12 เดือน เป็นท่อนพันธุ์ เก็บใช้ในช่วงอายุ 9-10 เดือน ส่วนที่ใช้เป็นยา เหง้าสดและแห้ง
สรรพคุณยาไทย เหง้าของขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา ลดการ อักเสบและ มีฤทธิ์ในการ ขับน้ำดี น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นชัน มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นจุดเสียด วิธีใช้ อาการแพ้อักเสบ แผล ฝีพุพอง แมลงสัตว์กัดต่อยภายนอก ใช้เหง้ายาวประมาณ 2 นิ้ว ฝนกับน้ำต้มสุกทาบริเวณที่เป็น วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผงขมิ้นโรยทาบริเวณที่มีอาการ ผื่นคันจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียดและอาหารไม่ย่อย ใช้เหง้าขมิ้น ไม่ต้องปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัด ๆ สัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3-4 ครั้งหลังอาหารและก่อนนอนถ้ามีอาการท้องเสียให้หยุดยาทันที
ข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์ กองวิจัยและพัฒนาสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ได้ศึกษาว่า ขมิ้นชันไม่มีพิษที่รุนแรง ทั้งในการใช้ระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์พบว่า น้ำมันหอมระเหย เป็นสาระสำคัญ ในการออกฤทธิ์รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยได้ทำการศึกษา ทดลองในโรงพยาบาลชุมชน 5 แห่ง และโรงพยาบาลทั่วไป 1 แห่ง ในผู้ป่วยที่มีอาการต่าง ๆได้แก่ ปวดแสบท้องเวลาหิว จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากมีลมในกระเพาะอาหารจุกเสียดท้อง เนื่องจากมีลมในกระเพาะอาหารและ ลำไส้ ผลจากการศึกษาเป็นที่น่าพอใจ ผู้ป่วยที่ได้รับขมิ้นชันมีอาการดีขึ้น และไม่พบ ผลแทรกซ้อนในการใช้จากการศึกษานี้พอสรุปได้ว่า ขมิ้นชันมีประสิทธิภาพดีในการใช้ จึงสมควรที่จะเผยแพร่และพัฒนาเป็นยาต่อไป
โดย....... หัทยา ตันป่าเหียง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

พระพุทธรูปพระเจ้าทันใจ วัดดอนไฟ

ประวัติความเป็นมา
""""""""วัดดอนไฟเริ่มสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๖๗๔ มีอายุ ประมาณ ๘๐๐ กว่าปี มีพระสุตตะสมเป็นผู้เริ่มสร้าง ซึ่งเดิมย้ายมาจากวัดม่อนเขากวาง หรือวัดกลางในปัจจุบันมีเจ้าอาวาส ทั้งหมดมาจนถึงปัจจุบันมีเจ้าอาวาส ทั้งหมดมาจนถึงปัจจุบัน ๔๐ รูป เจ้าอาวาสปัจจุบัน คือ พระอธิการมาตร จิรวฒโน เป็นรูปที่ ๔๐ วัดดอนมีโบสถ์ ๑ หลัง เดิมเรียกวิหารแต่ได้รับการผูกพัทธสีมา แล้วจึงเรียกว่าโบสถ์ ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ด้านนอกยังมีต้นโพธ์ที่ใหญ่ขนาด ๑๐ คนโอบ ที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของวัดอีก ๒ ต้น และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ เป็นอย่างมาก คือพระพุทธรูปพระเจ้าทันใจ ๒ พี่น้อง ที่ประดิษฐ์ฐานอยู่ที่วัดดอนไฟ
ประวัติพระเจ้าทันใจ
""""""""ในปัจจุบันมีพระพุทธรูปพระเจ้าทันใจประดิษฐานอยู่ที่วัดดอนไฟ หมู่ที่ ๗ ตำบลดอนไฟ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่ามี ลัวะ (อ่านว่า หลัวะ) ๓ พี่น้องได้อพยพครอบครัว มาจากทิศเหนือมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่ดอนขวางดอนกลาง และดอนเปียน ลัวะ ๓ คนนี้มีความขยันหมั่นเพียรในทางกสิกรรม ทำไร่ ทำนา ทำสวน ต่อมาไม่นานก็ร่ำรวยได้เป็นเศรษฐีทั้ง ๓ คน ในวันต่อมาท่านเศรษฐีทั้งสามมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงอยากจะสร้างพระพุทธรูปคนละองค์ เพื่อสืบอายุและทะนุบำรุงศาสนาให้รางเรืองโดยปั้นในวันพฤหัสบดี ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ ได้ฤกษ์งามยามดี นายช่างทองได้ทำการหล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้น ในวันนั้นได้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ คือมีห่าฝนโบกขรพรรษได้ตกลงมาอย่างหนักตลอดวัน นายช่างทองก็ทำการหล่อพระพุทธรูปทั้ง สามองค์จนหมดทองที่ท่านเศรษฐีทั้งสามีอยู่แต่ยังไม่เสร็จยังเหลือจิกโมลี ดังนั้นท่านเศรษฐีทั้งสามจึงประกาศให้ท่านสรัทธาสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมบริจาค ข่าวนี้ได้ยินเข้าไปถึงหูแม่หม้ายคนหนึ่งชื่อว่า ยาเทก อยู่ที่ตำบลหัวเสือ ซึ่งเป็นคนยากจนเมื่อได้ทราบข่าวบุญจึงมีความปิติอยากทำบุญแต่ยากจนเหลือเกินนางคิดแล้วน้อยใจ หนีออกจากบ้านไปขอทองจากพี่น้องชาวบ้าน ในที่สุดก็หมดหวัง ขอไม่ได้สักแห่ง นางจึงตั้งสัจจะอธิฐานขอเทพบุตรและเทพยดา ทั้งหลายจงมาดลบันดาลโปรดเมตตา บัดนั้นด้วยแรงสัจจะอธิฐาน แท่นหินบัณฑุกรรมศิลาอาสน์ของพระอินทร์ซึ่งเคยนุ่นนิ่มก็มาแข็งกระด้าง พระอินทร์ก็ประหลาดใจจึงส่องเนตรลงมาดูจึงรู้ว่านางแม่หม้ายผู้ยากไร้เข็ญใจ อยากได้ทองเพื่อนำมาร่วมกับท่านเศรษฐีหล่อจิกโมลีพระพุทธรูปเจ้าทั้งสามองค์นั้น พอนางยาเทก ได้ทองตามใจหวังก็รีบนำทองไปให้เศรษฐีทั้งสาม สมตามความมุ่งมาดปรารถนาทันใจทุกประการ ท่านเศรษฐีจึงนำทองแท่งนั้นมาให้แก่ช่างทองหล่อทำเป็นจิกโมลีของพระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้น เมื่อหล่อเสร็จแล้วนายช่างทองก็มาแกะแบบพิมพ์ปรากฏว่าจิกโมลีของพระพุทธรูปเจ้าทั้งสามองค์นั้นคตเอียงไปคนละทิศทางไม่ตรงเสมอกัน เมื่อหมดสมัยของท่านเศรษฐีทั้งสามก็มีบ้านเล็ก เมืองน้อยเกิดขึ้นมาอพยพขยายแผ่กว้าง วัดดอนขวางก็ขาดผู้อุปถัมป์บำรุง เมื่อปีใดบ้านเมืองเกิดแห้งแล้งฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เจ้าหลวงผู้คุ้มครองนครลำปาง มักจะใช้ให้คนมาหามเอาพระพุทธรูปทั้งสามองค์ ไปไว้ในเมืองโดยอาราธนาอัญเชิญแต่อย่างใดบ่อยครั้งเข้าพระพุทธรูปองค์พี่ใหญ่จึงแสดงปาฏิหาริย์ เหมือนกับว่ามีรอยช้างเหยียบให้แบนไปทั้งองค์ต่อมาอีกหลายปีมีโจรผู้ร้ายชุกชุมทางเจ้าคณะตำบลดอนไฟเชื่อว่า ท่านครูบาวงศ์ท่านได้นำเอาพระพุทธรูปสองพี่น้องมาเก็บรักษาไว้ที่วัดดอนไฟ
สิ่งที่น่าสนใจศึกษาและเรียนรู้
๑. พระพุทธรูปพระเจ้าทันใจ / โบสถ์และวิหารเก่าแก่
๒. ต้นโพธิ์ใหญ่ประมาณ ๑๐ คน โอบ และโดยเฉพาะวัดดอนไฟเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในอำเภอแม่ทะ
สถานที่ตั้ง หมู่ที่ ๗ ตำบลดอนไฟ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ๕๒๑๕๐
ภูมิปัญญา
พระอธิการ มาตร จิรวฒโน
เวลาเปิดให้บริการ
ทุกวันเวลา ๐๖.๐๐ – ๑๘.๐๐ น.
การเดินทาง
ห่างจากอำเภอแม่ทะ ๒๐ กิโลเมตร โดยรถยนต์สาวนตัวหรือรถโดยสารรับจ้าง
โดย....สุนันทา เจียมเงิน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ดื่มน้ำตอนไหนดีที่สุด



ทราบหรือไม่ครับว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน วันนี้ผมมีเรื่องนี้มาฝาก...ทุกคนครับ



  • ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ

  • ตอนสาย ๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป

  • ตอนบ่าย ๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

  • ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)

  • ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8 - 10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณนะครับ

โดย.....อุดม อนุพันธิกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ตานก๋วยสลากมีความเป็นมาอย่างไร....ใครรู้บ้าง...


"""""""""""ในสมัยพุทธกาล ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตะวันมหาวิหารนั้น วันหนึ่งนางกุมารีผู้หนึ่งได้อุ้มลูกชายวิ่งหนีนางยักขินีผู้มีเวรต่อกันหลายชาติแล้ว ติดตามมาจะทำร้ายลูกของนาง นางเห็นจวนตัวจะวิ่งหนีไปที่อื่นไม่ได้ จึงพาลูกวิ่งเข้าไปในพระเชตวัน เข้าไปในพระวิหารขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ นางเอาลูกน้อยวางแทบพระบาทแล้วกราบทูลว่า “ ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ขอทรงโปรดเป็นที่พึ่งแก่ลูกชายของหม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า ” พระพุทธเจ้าหยุดพฤติกรรมที่จองเวรของนางกุมาริกา และนางยักษ์ขินีด้วยการตรัสคำสอนว่า “ เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ธรรมนี้เป็นของโบราณ ” แล้วทรงให้นางทั้งสองเห็นผิดชอบชั่วดี นางยักษ์ขินีรับศีล ๕ แล้วนางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น กราบทูลพระพุทธเจ้าว่านางไม่รู้จะไปทำมาหากินอย่างไรเพราะรักษาศีลเสียแล้ว

"""""""""""นางกุมาริกาจึงรับอาสาจะพานางไปอยู่ด้วย นางได้รับอุปการะจากนางกุมาริกาหลายประการ นึกถึงอุปการะอยากจะตอบแทนบุญคุณ จึงเป็นผู้พยากรณ์บอกกล่าวเรื่อง อุตุนิยมวิทยา คือ บอกให้นางกุมาริกาทำนาในที่ดอนในปีฝนมาก ทำนาในที่ลุ่มในเวลาฝนแล้ง นางกุมาริกาได้ปฏิบัติตามทำให้ฐานะร่ำรวยขึ้นยิ่งกว่าคนอื่น ๆ ในระแวกนั้น คนทั้งหลายมีความสงสัยจึงมาถามหานางกุมาริกาว่าเป็นอย่างไร ได้รับคำตอบว่า นางยักษ์ขินีเป็นผู้บอกกล่าวให้ คนทั้งหลายจึงพากันไปหานางขอบอกให้อย่างเดียวกับนางกุมาริกา คนทั้งหลายได้รับอุปการะจากนางยักษ์ขินีจนมีฐานะร่ำรวยไปตาม ๆ กัน
"""""""""""ด้วยความสำนึกในบุญคุณ จึงพากันนำเอาเครื่องอุปโภคบริโภคอาหารการกินเครื่องใช้สังเวยอยู่เป็นอันมาก ข้าวของที่สำนักนางยักษ์ขินีจึงมีมากเหลือกินเหลือใช้ นางจึงนำมาทำเป็นสลากภัตร โดยให้พระสงฆ์กระทำการจับตามเบอร์ด้วยหลักของอุปโลกนกรรม คือ ของที่ถวายมีทั้งของมีราคามาก ราคาน้อย พระสงฆ์องค์ใดได้ของมีค่าน้อยก็อย่าเสียใจ ให้ถือว่าเป็นโชคของตนดีหรือไม่ดี การถวายแบบจับสลากของนางยักษ์ขินีนี้นับเป็นครั้งแรกแห่งประเพณีทำบุญสลากภัตร หรือทานสลากในพระพุทธศาสนา….ดังนี้แล...........
ที่มา : ประเพณีตานก๋วยสลากวัดปงยางคก อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง

โดย...ทินกร สุริกัน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ

สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด บท ๒

6. บีตรูต ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล
( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่เสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น และบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย
7. กะหล่ำ เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ(Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย
8. บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
9. กระเทียม จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดย
เฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย
10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
11. มะเขือพวง คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันแกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุให้คนมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว(ไขมันอันตราย) ขับถ่ายออกจากร่างกาย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย
12. แครอต เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอทช่วยลดการเกิดมะเร็ง ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น ที่มา www.iqraforum.com
โดย.......วนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ดอกไม้ประจำวันเกิด

""""""""""ฉบับที่แล้วได้พูดถึงดอกไม้ประชาติไทย ก็มีคนถามต่อว่า แล้วดอกไม้ประจำวันเกิดมีหรือไม่ ก็เลยลองไปศึกษาดู ก็พบตำนานดังนี้นะคะ
คนที่เกิดวันอาทิตย์ ดอกไม้ประจำวันเกิดเป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้มีนิสัยทะเยอ ทะยานและกระตือรือร้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย
คนที่เกิดวันจันทร์ ดอกไม้ประจำวันเกิดคือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน
คนที่เกิดวันอังคาร ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้
คนที่เกิดวันพุธ ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพ ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน
คนที่เกิดวันพฤหัสบดี ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน คนที่เกิดวันนี้เป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารัก
คนที่เกิดวันศุกร์ ดอกไม้ที่ถูกโฉลกคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือหรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ"
คนที่เกิดวันเสาร์ ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว
โดย......มันทนา กันสิทธิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ

เครื่องสักการะ


เมื่อถึงฤดูงานประเพณี เดือนยี่เป็ง งานบวชพระบวชสามเณร ตานวิหาร ตานธาตุ งานสมโภชน์พระเจ้า ตานผ้ากฐิน กินใหญ่ตานหลวง งานสรงน้ำพระธาตุ
คนโบราณมักนิยมร่วมสมัครสมานสามัคคีร่วมกายร่วมจิตร่วมใจช่วยกันตกแต่งดาของที่ จะนำเอามารวมกัน แล้วจัดเครื่องสักการะขึ้น ดังเช่น

ขันดอกไม้เรียกว่า “ ขันเลี่ยม “ มีอยู่ ๔ ด้านด้วยกัน นำเอาดอกไม้หลายหลากสีนำเอาใส่ไว้ในขัน เราเรียกว่า “ ขันเลี่ยม “ความหมายของขันเลี่ยมนั้น คนสมัยโบราณเชื่อว่า ที่เราเห็นขันเป็น ๔ เหลี่ยม มีอยู่ ๔ ด้านนั้น ท่านบ่งบอกถึงให้เรามีพรหมวิหาร ๔ ประการ
๑. เมตตา มีความจริงใจ ความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
๒. กรุณา มีความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ ต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
๓. มุทิตา มีความชื่นชมยินดีในความสำเร็จสมหวังของผู้อื่น
๔. อุเบกขา มีความวางเฉยในเมื่อไม่อาจช่วยเหลือผู้อื่นได้ไม่ทับถมซ้ำเติมเมื่อผู้อื่นผิดพลาดหรือได้รับความวิบัติไม่แสดงอาการสมน้ำหน้าเมื่อเขาพลาด
“ ขันเลี่ยมนั้น ” ได้นำมาบูชาพระรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นแก้วอันประเสริฐ ๓ ประการในพระพุทธศาสนา
เครื่องสักการะที่คนโบราณได้จัดทำขึ้นมีอีกหลายอย่าง ในฉบับเดือนพฤศจิกายน จะได้นำมาเรียนรู้ร่วมกันอีก

โดย.....อรทัย ทรงศรีสกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

คุณสมบัติทั่ว ๆ ไปของคนฉลาดคิด

"""""""" ถึงแม้ทุกคนจะมีความสามารถในการคิดเหมือนกัน แต่ศักยภาพในการคิดอย่างฉลาด มักจะถูกแสดงออกมาอย่างไม่เต็มที่ ทั้งนี้ เนื่องจากขาดคุณสมบัติของการเป็นคนฉลาดคิด ดังต่อไปนี้
๑. มีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องรอบตัวต่าง ๆ
๒. มีความกระตือรือร้น และทำงานเชิงรุก
๓. มีความคิดอิสระ มั่นใจในตัวเอง
๔. ชอบการเรียนรู้ แสวงหา และทดลองสิ่งใหม่ ๆ
๕. ไวต่อปัญหา ทั้งในด้านการป้องกันและการแก้ไข
๖. มีจินตนาการ และมีวิสัยทัศน์ส่วนตน
๗. มีความยืดหยุ่นทั้งในด้านการคิด และการกระทำ
๘. มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล
๙. มีความมุ่งมั่น อดทน
๑๐. รู้จักใช้วิจารณญาณ ไตร่ตรอง คาดการณ์ได้อย่างละเอียด รอบคอบ
๑๑. กล้าตัดสินใจ
๑๒. มีอารมณ์ขัน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน แต่ถ้าไม่มีการนำมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ เราก็เหมือนดาบที่ทำด้วยเหล็กเนื้อดี ที่ไม่เคยได้ออกมาจากฝัก หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
โดย......ลัดดา คิดอ่าน นักวิชาการวัมนธรรมชำนาญการ

วิธีการดูแลรักษารองเท้าคู่โปรด

รองเท้า ไม่ว่าจะเป็นผ้าใบ ส้นสูง ส้นเตี้ย รัดส้น คัตชู หรือแม้กระทั่งรองเท้าแตะ ก็อยากได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุการใช้งาน และคงสภาพรูปทรงไว้เมื่อไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีดูแลรักษารองเท้าอย่างง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
1. ใช้ไม้รองรองเท้าใส่ไว้ในรองเท้าก่อนเก็บเสมอ รูปทรงของรองเท้าจะคงอยู่ ไม่ผิดรูปไปจากวันแรกที่ซื้อมากนัก
2. การใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ยัดลงในรองเท้านั้น ถือเป็นการดูแลรักษารองเท้าอย่างง่าย ๆ แต่ก็ช่วยรักษารูปทรงของรองเท้าได้ไม่ดีนัก เพราะว่า ตัวกระดาษจะดูดความชุ่มชื้นของหนังรองเท้า นานไปจะทำให้รองเท้าแข็งกระด้าง
3. ไม่ควรที่จะใส่รองเท้าคู่เดิมทุก ๆ วัน ควรที่จะสลับรองเท้าใส่กันไปมา จะทำให้อายุการใช้งานของรองเท้ายาวนานขึ้น อีกอย่าง เป็นการช่วยดูแลรองเท้าของคุณไม่ให้ทำงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาดูแลรักษา
4. เมื่อรองเท้าคู่โปรดเปียกน้ำ อย่า ใช้ไดร์เป่าผมทำให้แห้งโดยเด็ดขาด แต่ให้นำรองเท้าไปผึ่งในบริเวณที่มีลมโกรก แต่ไม่ควรนำไปตากไว้กลางแดด และก่อนรองเท้าจะแห้งให้ใช้ไม้รองเท้าใส่เพื่อเป็นการรักษารูปทรง
แค่นี้รองเท้าคู่ไหน ๆ ของคุณก็จะคงสภาพ ให้คุณได้ใช้งานไปอีกนาน ๆ …

ที่มา:hilight.kapook.com/และข้อมูลจากเดลินิวส์
โดย......เสาวภาคย์ คงแสง นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ

มะละกอ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ


ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica papaya L. วงศ์ CARICAEAE มะละกอ เดิมเป็นผลไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกา แต่ที่เข้ามาออกลูกออกหลานขยายพันธุ์อยู่เต็มบ้านของเราได้ เพราะชาวยุโรปได้นำมาแพร่พันธุ์จนกระทั่งได้กระจายไปทั่วทุกภาคเอเชีย โดยเฉพาะบ้านเราที่ขึ้นชื่อมาก แม้แต่ฝรั่งยังรู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามใหม่ว่า ปาปา ย่า ป๊อก ป๊อก

ลักษณะทั่วไป มะละกอ เป็นพรรณไม้เนื้ออ่อน สูงได้ถึง 8 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นตรงมีเนื้ออ่อนฉ่ำน้ำ

ใบ เป็นแฉก มีรอยเว้าเล็กๆ คล้ายขนนก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 ซ.ม.

ดอก เป็นช่อ ดอกตัวผู้มีสีเหลืองออกสีเขียวอ่อน กลีบบางยาวประมาณ 2 ซ.ม. ดอกตัวเมียไม่มีก้านดอก ยาวประมาณ 7 ซ.ม. ออกเป็นดอกเดี่ยวและกระจุก กลีบดอกสีขาวออกเหลือง

ผล มีลักษณะกลมยาวรี ผลอ่อนภายนอกมีสีเขียวเนื้อในสีขาว แต่เมื่อสุกงอมได้ที่จะมีสีเหลืองส้ม เนื้อหนา นุ่ม รสฉ่ำหวาน มีเมล็ดคล้ายรูปไข่สีน้ำตาลดำ ผิวขรุขระอ่อนค่อนข้างมาก ยาว 6-7 ซ.ม. มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-5 ซ.ม.

ส่วนที่ใช้ ผล ยาง ราก ใบ

สรรพคุณทางยาสมุนไพร นำผลดิบและผลสุกมาต้มกินเป็นยา ขับน้ำดี น้ำเหลือง บำรุงน้ำนม ขับพยาธิ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ผลสุกเป็นยาแก้ท้องผูกที่วิเศษสุดๆ ถ่ายคล่องเป็นยาระบายได้อย่างดีเยี่ยม นำเนื้อสุกมาปั่น แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกใบหน้าจะชุ่มชื้นขึ้น

คุณค่าทางอาหาร สามารถนำไปประกอบอาหารต่างๆ ได้อย่างวิเศษมากมายหลายอย่าง มะละกอดิบ ถ้าใช้ทำเป็นอาหารยอดนิยม คงหนีไม่พ้นส้มตำ มะละกอดิบ หั่นเป็นแว่นๆ พอคำ นำไปแกงส้มใส่ปลาช่อนใส่กุ้ง มะละกอสุก นำมาปลอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่น ผสมน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่เหมาะสม และเหมาะสำหรับคลายร้อนได้เป็นอย่างดี และมีคุณค่าทางโภชนาการอาหารอย่างมากมาย มะละกอมีเกลือแร่ และวิตามินมาก มีคุณค่าทางอาหารไม่น้อย แคลเซียมในมะละกอช่วยป้องกันฟันผุ วิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอช่วยในบำรุงสายตาและระบบประสาท และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมาก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัวเว็บไซต์ lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com


โดย......เครือวัลย์ ธรรมายอดดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

กล้วย ผลไม้เพื่อสุขภาพ


"""""""""""กล้วย (Banana) ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa Sapientum Linn. วงศ์ MUSACEAE กล้วย เปรียบเสมือนผลไม้สารพัดประโยชน์ ที่สามารถนำมาประกอบอาหาร ได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าส่วนใดของกล้วยก็สามารถนำมาใช้ได้ ผลอ่อน ผลแก่ หยวก ก้านใบช่อดอกหรือปลี ล้วนทั้งสามารถนำมาทำอาหารคาว หวาน หรือถนอมอาหารเก็บไว้ได้นาน เช่น กล้วยฉาบ กล้วยตาก ลักษณะ กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุก สูงประมาณ 2-5 เมตร ลำต้นที่เห็นเป็นก้านใบหุ้มซ้อนกัน ใบ หรือใบตองกล้วยมีใบขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นแผ่นยาวประมาณ 1.50 เมตร กว้างประมาณ 40-60 ซ.ม. มีสีเขียว เส้นใบขนานกัน ดอก จะออกดอกเป็นช่อห้อยลงมามีกาบหุ้มสีแดงอมม่วง เรียกว่า หัวปลี รูปร่างกลมรี มีดอกย่อยติดกันมาเป็นแผง ดอกตัวเมียจะอยู่ที่ฐานส่วนดอกตัวผู้จะอยู่ช่วงปลายผล หลังจากดอกตัวเมียเริ่มเจริญเป็นผล ดอกตัวผู้ก็จะร่วงไป ช่อดอกจะเจริญต่อไปเป็นเครือกล้วย ที่ประกอบด้วยหวีกล้วยประมาณ 7-8 หวี ผลกล้วยอ่อนมีสีเขียว พอแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองส่วนที่ใช้ ผลดิบ ผลสุก หัวปลี ยางกล้วยจากใบ
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
กล้วย มีความสำคัญและมีประโยชน์ ตั้งแต่ด้านการใช้สอย ความเชื่อด้านพิธีกรรม ประโยชน์คุณค่าทางอาหารแล้วยังเป็นยารักษาโรคได้ดีอีกอย่างด้วย ผลกล้วยดิบ นำมาฝานทั้งเปลือกตากแห้งแล้วนำมาบดให้ละเอียดเป็นผงชงดื่ม เป็นยาแก้ท้องเดิน และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ผลกล้วยสุก ช่วยในการระบายเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อนำผลสุก 1 ผล มาผสมกับน้ำผึ้งรับประทานก็จะช่วยระบาย รากกล้วย นำมาตำพอกแก้เคล็ดขัดยอก รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ยางกล้วย มีสารเทนินใช้สมานในการห้ามเลือด แผลสด แมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคลิ้นเป็นฝ้าขาวในเด็ก หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม นิยมนำมาทำเป็นแกงเลียงให้แม่ลูกอ่อนรับประทาน และยังบำรุงเลือดด้วย เปลือกกล้วย ที่รับประทานแล้วนั้น นำมาถูส้นเท้า ฝ่ามือ นิ้มป้องกันและระงับเชื้อแบคทีเรีย
คุณค่าทางอาหาร
กล้วย ไทยที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วโลกว่ามีรสหอมกว่ากล้วยของประเทศอื่น คือ กล้วยหอม ส่วนกล้วยที่ใช้ประโยชน์มากที่สุด คือ กล้วยน้ำหว้า วิธีใช้ในการประกอบอาหารของ กล้วย นั้นมีอยู่หลายวิธี
กล้วยสุก นำไปเผาทั้งเปลือก แล้วขูดเอาแต่เนื้อนำไปบดกับข้าวถือว่าเป็นอาหารชนิดแรกของคนไทย นอกจากนมแม่
กล้วยดิบ ใช้ทำเป็นแป้งไว้ผสมอาหารอื่น กล้วย นำมาถนอมอาหารสามารถเก็บไว้ได้นาน เช่น กล้วยฉาบ กล้วยตาก กล้วยกวน ข้าวเกรียบกล้วย กล้วยตานี หั่นเป็นแว่นๆ ดองน้ำส้ม เกลือ น้ำตาล เป็นผักจิ้มหรือของขบเคี้ยวอาหารว่าง กล้วยดิบ อื่นๆ ใช้แกงป่า ให้ทำต้มยำ หัวปลี ทำแกงเลียง ทำเครื่องเคียงขนมจีน น้ำพริก หยวกกล้วยอ่อน ใช้แกงส้ม ต้มจิ้มน้ำพริก
จะเห็นว่าคุณค่าทางโภชนาการและอาหารของกล้วยมีสูง ดีต่อร่างกาย หาซื้อง่าย หากรับประทานเป็นปกติก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะให้พลังงานสูง แคลเซียมในกล้วยช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน วิตามินก็ ครบครัน ทั้งวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายตามปกติ วิตามินซี ป้องกันโรคหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน และยังมีสารอาหารมากคุณค่าอื่น ๆ อีก
ขอขอบคุณข้อมูล จากหนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ,ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว,เว็บไซต์ lifestyle.kingsolder.com, เว็บไซต์ elib-online.com
อนุวัต ปราชญ์เวทย์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ประเพณีฟังธรรมหนองบัว อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง

หมู่บ้านหนองบัวในสมัยก่อนเป็นหมู่บ้านเดียว ในปัจจุบันได้แยกออกเป็นหมู่ที่ ๑ บ้านหล่าย หมู่ที่ ๘ บ้านหล่ายฮ่องปุ๊ หมู่ที่ ๑๓ บ้านหล่ายเหนือพัฒนา และหมู่ที่ ๑๕ บ้านฮ่องปุ๊สามัคคี ตำบลสบปราบ อำเภอสบปราบ คำว่า “หนองบัว” มีที่มาจากสมัยก่อนในหนองน้ำนี้มีต้น
บัวขาวเต็มท้องน้ำ ชาวบ้านเรียกว่า “หนองบัว” จนถึงปัจจุบัน ในสมัยก่อนหมู่บ้านหนองบัวแห่งนี้
มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านอาศัยน้ำฝนในการเพาะปลูกมาโดยตลอด ต่อมาฝนเริ่มตกน้อยลงหรือถึงฤดูฝนฝนก็ไม่ตก ทำให้บ้านเมืองแห้งแล้งขาดน้ำในการทำเกษตร ผู้ใหญ่บ้าน มัคนายกวัด จึงได้ชักชวนชาวบ้านในพื้นที่ร่วมกันจัดงาน “ฟังธรรมหนองบัว” โดยนิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูป สวดขอฝน ๑๐๘ คาบ และร่วมกันฟังธรรมเทศน์นาจากพระสงฆ์ เรียกว่า ฟังธรรมปลาช่อน
wwwwwww“ฟังธรรมปลาช่อน” มีเนื้อหากล่าวถึงการขอฝนจากเทวดาฟ้าดินของเหล่าสัตว์น้ำที่
อาศัยอยู่ในหนองน้ำที่กำลังจะขาดน้ำในการมีชีวิต เป็นการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล หลังจากที่ได้
ร่วมกันฟังธรรมหนองบัวเสร็จสิ้นแล้ว ผู้เฆ่า ผู้แก่ คนหนุ่มสาว เด็ก ๆ จะเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน เหมือนเล่นน้ำสงกรานต์ หลังจากนั้นต่างชักชวนกันข้ามหนองบัวไปเกาะกลางน้ำเพื่อ
สรงน้ำพระธาตุ การจัดงานประเพณีฟังธรรมหนองบัวของอำเภอสบปราบ เป็นประเพณีของท้องถิ่น
ที่ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์ไว้ โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในการจัดงานให้แต่ละหมู่บ้านช่วยกัน
ดำเนินงาน สำหรับงบประมาณในการจัดประเพณีฟังธรรมหนองบัว ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก
สภาจังหวัด เขตอำเภอสบปราบ เทศบาลตำบลสบปราบและองค์การบริหารส่วนตำบลสบปราบ ประเพณีฟังธรรมหนองบัวนี้ ถือเป็นประเพณีที่จัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงเดือนพฤษภาคม
โดย.. พรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วิธีการดูแลรักษารองเท้าคู่โปรด

รองเท้า ไม่ว่าจะเป็นผ้าใบ ส้นสูง ส้นเตี้ย รัดส้น คัตชู หรือแม้กระทั่งรองเท้าแตะ ก็อยากได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุการใช้งาน และคงสภาพรูปทรงไว้เมื่อไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีดูแลรักษารองเท้าอย่างง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
1. ใช้ไม้รองรองเท้าใส่ไว้ในรองเท้าก่อนเก็บเสมอ รูปทรงของรองเท้าจะคงอยู่ ไม่ผิดรูปไปจากวันแรกที่ซื้อมากนัก
2. การใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ยัดลงในรองเท้านั้น ถือเป็นการดูแลรักษารองเท้าอย่างง่าย ๆ แต่ก็ช่วยรักษารูปทรงของรองเท้าได้ไม่ดีนัก เพราะว่า ตัวกระดาษจะดูดความชุ่มชื้นของหนังรองเท้า นานไปจะทำให้รองเท้าแข็งกระด้าง
3. ไม่ควรที่จะใส่รองเท้าคู่เดิมทุก ๆ วัน ควรที่จะสลับรองเท้าใส่กันไปมา จะทำให้อายุการใช้งานของรองเท้ายาวนานขึ้น อีกอย่าง เป็นการช่วยดูแลรองเท้าของคุณไม่ให้ทำงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาดูแลรักษา
4. เมื่อรองเท้าคู่โปรดเปียกน้ำ อย่า ใช้ไดร์เป่าผมทำให้แห้งโดยเด็ดขาด แต่ให้นำรองเท้าไปผึ่งในบริเวณที่มีลมโกรก แต่ไม่ควรนำไปตากไว้กลางแดด และก่อนรองเท้าจะแห้งให้ใช้ไม้รองเท้าใส่เพื่อเป็นการรักษารูปทรง
แค่นี้รองเท้าคู่ไหน ๆ ของคุณก็จะคงสภาพ ให้คุณได้ใช้งานไปอีกนาน ๆ …

ที่มา:hilight.kapook.com/และข้อมูลจากเดลินิวส์
โดย......เสาวภาคย์ คงแสง นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica papaya L. วงศ์ CARICAEAE มะละกอ เดิมเป็นผลไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกา แต่ที่เข้ามาออกลูกออกหลานขยายพันธุ์อยู่เต็มบ้านของเราได้ เพราะชาวยุโรปได้นำมาแพร่พันธุ์จนกระทั่งได้กระจายไปทั่วทุกภาคเอเชีย โดยเฉพาะบ้านเราที่ขึ้นชื่อมาก แม้แต่ฝรั่งยังรู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามใหม่ว่า ปาปา ย่า ป๊อก ป๊อก
ลักษณะทั่วไป มะละกอ เป็นพรรณไม้เนื้ออ่อน สูงได้ถึง 8 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นตรงมีเนื้ออ่อนฉ่ำน้ำ
ใบ เป็นแฉก มีรอยเว้าเล็กๆ คล้ายขนนก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 ซ.ม.
ดอก เป็นช่อ ดอกตัวผู้มีสีเหลืองออกสีเขียวอ่อน กลีบบางยาวประมาณ 2 ซ.ม. ดอกตัวเมียไม่มีก้านดอก ยาวประมาณ 7 ซ.ม. ออกเป็นดอกเดี่ยวและกระจุก กลีบดอกสีขาวออกเหลือง
ผล มีลักษณะกลมยาวรี ผลอ่อนภายนอกมีสีเขียวเนื้อในสีขาว แต่เมื่อสุกงอมได้ที่จะมีสีเหลืองส้ม เนื้อหนา นุ่ม รสฉ่ำหวาน มีเมล็ดคล้ายรูปไข่สีน้ำตาลดำ ผิวขรุขระอ่อนค่อนข้างมาก ยาว 6-7 ซ.ม. มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-5 ซ.ม.
ส่วนที่ใช้ ผล ยาง ราก ใบ
สรรพคุณทางยาสมุนไพร นำผลดิบและผลสุกมาต้มกินเป็นยา ขับน้ำดี น้ำเหลือง บำรุงน้ำนม ขับพยาธิ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ผลสุกเป็นยาแก้ท้องผูกที่วิเศษสุดๆ ถ่ายคล่องเป็นยาระบายได้อย่างดีเยี่ยม นำเนื้อสุกมาปั่น แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกใบหน้าจะชุ่มชื้นขึ้น
คุณค่าทางอาหาร
สามารถนำไปประกอบอาหารต่างๆ ได้อย่างวิเศษมากมายหลายอย่าง มะละกอดิบ ถ้าใช้ทำเป็นอาหารยอดนิยม คงหนีไม่พ้นส้มตำ มะละกอดิบ หั่นเป็นแว่นๆ พอคำ นำไปแกงส้มใส่ปลาช่อนใส่กุ้ง มะละกอสุก นำมาปลอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่น ผสมน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่เหมาะสม และเหมาะสำหรับคลายร้อนได้เป็นอย่างดี และมีคุณค่าทางโภชนาการอาหารอย่างมากมาย มะละกอมีเกลือแร่ และวิตามินมาก มีคุณค่าทางอาหารไม่น้อย แคลเซียมในมะละกอช่วยป้องกันฟันผุ วิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอช่วยในบำรุงสายตาและระบบประสาท และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมาก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัวเว็บไซต์ lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

การถวายทานเพื่อความสิริมงคล แก่ตน

การทำบุญสร้างกุศลเพื่อความสุขความเจริญ รวมทั้งการทำบุญเพื่อความสุขกายสบายใจ เมื่อรู้สึกว่าโชคไม่ดีมีเคราะห์ หรือมีสิ่งทำให้ไม่สบายกายและใจที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น มีสิ่งไม่เหมาะไม่ควรประดับเข้ามา วิถีชีวิตไทยชาวพุทธจะทำบุญทำกุศล อุทิศผลบุญกุศลให้เทวดาอารักษ์ เจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณทั้งหลายและตนเอง เพื่อให้วิถีชีวิตร่มเย็นเป็นสุข นิยมทำบุญ ถวายสังฆทาน
หลักการถวายทาย มีหลักสำคัญ ๒ ประการ คือ ต้องตั้งใจถวายเป็นสงฆ์จริงไม่เห็นแก่หน้าบุคคลผู้รับว่าเป็นภิกษุสามเณรรูปใด จะเป็นพระสังฆ์เถระหรือเป็นพระอันดับ ฉะนั้นเวลานิมนต์พระให้กล่าวขอนิมนต์พระ ๔ รูป หรือกี่รูปโดยไม่เน้นว่าเป็นรูปใด ประการที่ ๒ ของที่ถวายควรเป็นทานวัตถุ ๑๐ ประการ จะมีกี่อย่างก็ได้ เช่น ข้าว,กับข้าว , น้ำ , เครื่องดื่มอันสมควรแก่สมณะบริโภค ,ดอกไม้ ,
ธูป , เทียน , ของใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน , ใบมีดโกน โกนหนวด โกนผม พร้อมด้าม , ของใช้ทำความสะอาดห้องน้ำ กุฏิพวกน้ำยา สบู่เหลว ฟองน้ำ สบง อังสะ หรือจีวร หรือผ้าเช็ดตัว
การถวายสังฆทานเพื่อความเป็นสิริมงคล เริ่มต้นด้วยการจุดธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย กล่าวคำสักการะสวดบูชาพระรัตนตรัย , อาราธนาศีลและรับศีล ถ้ามีการเจริญพระพุทธมนต์ ให้อาราธนาพระปริตร เมื่อพระเจริญพระพุทธนมนต์จบแล้วให้ กล่าวคำถวายสังฆทาน ดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
อิมานิ มะยัง ภันเต , ภัตตานิ สัปปริวารานิ , ภิกขุสังฆัสสะ , โอโนชยามะ , สาธุ โน ภันเต , ภิกขุสังโฆ ,
อิมานิ , ภัตตานิ , สะปริวารานิ , ปฏิคคันหาตุ , อัมหากัง , ทีฆะรัตตัง , หิตายะ , สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ , ข้าพเจ้าทั้งหลาย , ขอน้อมถวาย , ซึ่งภัตตาหาร , พร้อมกับทั้งบริวารเหล่านี้ , แด่พระภิกษุสงฆ์ , ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ , ซึ่งภัตตาหาร , พร้อมกับทั้งบริวารเหล่านี้ , ของข้าพเจ้าทั้งหลายเพื่อประโยชน์ , เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย , สิ้นกาลนานเทอญ.

สุภาภรณ์ เรือนหล้า นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

10 เคล็ดลับสำหรับคุณแม่บ้าน

1. แก้ปัญหาสีน้ำแห้งแข็ง ใช้น้ำส้มสายชูผสมทิ้งเอาไว้ สีน้ำที่แห้งแข็งก็จะอ่อนเหลว นำมาใช้ได้ใหม่อีกครั้
2. เคล็ดลับน่ารู้ในการขจัดคราบรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า
- รอยเปื้อนสนิมเหล็ก ใช้เกลือ และบีบมะนาวลงบนรอยเปื้อน แล้วนำไปซักด้วยวิธีธรรมดา ตากแดดจัด ๆ
- รอยเปื้อนยางมะตอย และกาว ใช้น้ำมันไฟแช็ค ล้างรอยเปื้อน แล้วจึงนำไปซัก.
- รอยเปื้อนน้ำหมึก ขยี้มะเขือเทศลงบนรอยเปื้อน ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง และนำไปซักด้วยวิธีธรรมดาอีกครั้ง
-รอยเปื้อนหมึกลูกลื่น ใช้น้ำมันใส่ผมหยอดลงไปที่รอยเปื้อน และนำไปซักด้วยผงซักฟอกอีกครั้ง
- รอยเปื้อนคราบเลือด ใช้แป้งมันกับน้ำเย็นผสมกันให้ข้นขนาดแป้งเปียก ทากระดาษพอกไว้บนรอยเลือดที่เปื้อน ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วซักน้ำ รอยเลือดนั้นจะหายไป.
-รอยเปื้อนคราบลิปสติกบนเสื้อ ก็รีบหาน้ำมันยูคาลิปตัส หรือกลีเซอรีน เช็ดบริเวณที่เปื้อนโดยเร็ว...ถ้าไม่อยากมีปัญหา.
-รอยคราบไขมันที่ติดเสื้อผ้า โรยแป้งฝุ่นตรงรอยเปื้อน แล้วเอากระดาษทิชชู่วางทับจากนั้น จึงใช้เตารีดร้อนรีดทับไว้สักครู่ จึงนำไปซักด้วยวิธีธรรมดา
3. ขจัดคราบรอยนิ้วบนไพ่ป๊อก ใช้สำลีชุบนมสดเย็นๆ เช็ด รอยเปื้อนก็จะหลุดออกไป
4. ดูแลรักษางาช้าง เอางาช้างวางไว้กลางแดดทั้งๆ ที่ยังเปียกน้ำสบู่อยู่ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เมื่อแห้งแล้วขัดด้วยผ้าสักหลาด ก็จะได้งาช้างสวยสะอาดดังเดิม
5. ขจัดคราบกาวสติกเกอร์ ใช้น้ำมันพืชหรือครีมวาสลีนมาทาสติกเกอร์ให้ชุ่ม แล้วจึงค่อยๆ ดึงออกมา
6. วิธีล้างเครื่องหนัง หยดน้ำมันสลัดสัก 2-3 หยด ลงไปในน้ำสบู่แล้วใช้แปรงจุ่มถู จากนั้นจึงซักในน้ำสบู่ธรรมดาอีกครั้ง แล้วล้างด้วยน้ำเย็นรีบเช็ดให้แห้งตากลมไว้ น้ำมันสลัดนอกจากจะช่วยขจัดคราบสกปรกแล้ว ยังช่วยให้หนังคงสภาพเดิมได้ด้วย
7. บรรเทาอาการปวดฟัน ใช้ใบกระเพราขยี้กับเกลือ อุดไปที่รูฟันที่ปวดสักพักอาการปวดก็จะทุเลาลงเอง
8. บรรเทาอาการปวดจากแตนต่อย แค่ใช้แอมโมเนียชุบสำลีแปะลงไปที่ถูกแตนต่อยก็หายปวดแล้ว.
9. หุงข้าวแล้วข้าวแฉะ แก้ปัญหาโดยใส่ขนมปังปอนด์สัก 2-3 แผ่น ลงไปในหม้อ ปิดผาหม้อให้แน่นแล้วกดไฟ ไม่นานข้าวก็จะสวยขึ้นมาได้ เพราะขนมปังจะช่วยดูดน้ำเอาไว้
10. แก้ปัญหาเล็บเหลือง ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบไว้ในน้ำอุ่น แล้วจุ่มมือลงไปแช่สักพัก เล็บของคุณก็จะกลับมาขาวได้
ที่มา : http://atcloud.com
โดย........รัตนา เกิดเวียงใหม่ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ

เล่าขานตำนานอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง (ฉบับที่ ๒)

ว่าด้วยชื่อ “ฮ่างสัต” ชื่อเก่าของอำเภอห้างฉัตร
""""""""คำว่า ฮ่างสัต เป็นสำเนียงของคนในท้องถิ่น หมายถึงร่างทั้งเจ็ด ชื่อที่ปรากฏในจารึกแผ่นเงินของเจ้าอารักษ์ขุนตาลดังกล่าวข้างต้นก็ดี ในตำนานเจ้าเจ็ดองค์ก็ดี ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ก็ดี เขียนด้วยคำว่า “ร่างสัต” ไว้หลายแห่ง เป็นชื่อที่ออกเสียงตรงกับวิธีเขียนว่า “ห้างสัตย์” ก็ได้ แต่ในสมัยหนึ่งเริ่มยกฐานะตำบลดังกล่าวเป็นที่ตั้งอำเภอ ได้เขียนชื่ออำเภอนี้ว่า อำเภอหางสัตว์ รวมทั้งตั้งชื่อสถานีรถไฟหางสัตว์ก็ได้เกิดขึ้นในระยะนั้น โดยที่ประวัติเกี่ยวกับความหมายของชื่อฮ่างสัตดังกล่าว ไม่สู้จะแพร่หลาย จึงได้มีการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนชื่ออำเภอดังกล่าว ผู้ประสงค์จะเปลี่ยนชื่อในระยะนั้นไม่อาจจะตีความคำว่า “หางสัตว์” ได้ เพราะสำเนียงเรียกกันแล้วคนในท้องถิ่นบางหมู่บ้าน ก็เรียก “ฮ่างสัต” โดยออกเสียงพยางค์ต้นยาวมีเสียงจัตวากล้ำไว้ด้วยดังนี้
""""""""“ฮ๋-างสัต” ซึ่งตรงกับวิธีสะกดด้วยตัวอักษรว่า “หางสัตว์” ได้ตามสำเนียงเรียก มีนิทานประกอบการตั้งชื่อในครั้งนั้นว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระนางจามเทวีนำฉัตรซึ่งบรรทุกบนหลังช้างแต่หริภุญไชย หยุดประกอบองค์ฉัตรที่ตำบลดังกล่าวเพื่อจะนำไปประดิษฐานไว้เหนือพระธาตุเจดีย์ลำปางหลวง การประกอบของสูงที่ต้องปีนป่ายนั้นเป็นคำกิริยาเรียกว่า “ห้าง” พร้อมเสนอว่า เป็นเรื่องราวของพระนางจามเทวีห้างฉัตรที่ตำบลซึ่งเรียกกันว่า “หางสัตว์”
เกี่ยวกับคำว่า “ร่างสัต” หมายถึง ร่างทั้ง ๗ หมายถึงผู้ใดนั้น ผู้เขียนได้ค้นพบสิ่งที่พึงให้ความหมายได้ ๒ นัยคือ จากการสอบประวัตและรายชื่อ เจ้าพ่อที่ชาวบ้านนับถือประจำหออารักษ์ขุนตาลในอำเภอห้าฉัตร ถือว่า มีเจ้าพ่ออยู่ ๗ ตน รายชื่อดังนี้
๑. เจ้าพระบาทขลางคำ (เจ้าพ่อเขลางค์)
๒. เจ้าฟ้าเขียว
๓. เจ้าเปลวปล่องฟ้า
๔. เจ้าข้อมือเหล็ก
๕. เจ้าพละพื่ก (เจ้าพละ คือพระยาพละราชแห่งพละนคร คือเมืองแพร่ พื่กเป็นคำโบราณปรากฏใช้แต่จารึกกฎหมายเมงราย แปลว่าหลีก) เจ้าพละพื่กหมายถึง เจ้าพละราชแพ่งพละนคร ได้หลีกจาการที่จะพยายามขุดเอาพระธาตุของวัดลำปางหลวงไปจากเมืองลำปาง
๖. เจ้าหาญกวาด
๗. เจ้าหาญเจ็ดเตี่ยว คำว่าเตี่ยว หมายถึงกางเกง เจ้าหาญเจ็ดเตี่ยวจึงหมายถึงเจ้าหาญ ๗ ตนซึ่งนุ่งกางเกง (สมัยพะม่าปกครอง ทหารนุ่งโสร่ง) อันหมายถึงเจ้าหาญที่มิใช่พะม่า

เอกสารอ้างอิงจาก หนังสือเมืองโบราณในนครลำปาง โดยศักดิ์ รัตนชัย
โดย ดวงสมร ขอบคำ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

น้ำพริกน้ำปู๋ชู้รักของหน่อไม้ไร่

""""""""""""""“น้ำพริกน้ำปู๋” อาหารอร่อยของชาวนา ทำได้ง่ายเหมือนการทำน้ำพริกหนุ่มคือ ทำพริกหนุ่ม หอมแดง มาย่างไฟให้สุก แกะเปลือกเอาแต่เนื้อ ตำในครก ใส่เกลือเล็กน้อย ตำไม่ต้องให้แหลกมาก จากนั้นใส่น้ำปู๋ลงไปปริมาณตามต้องการ ถ้าใครชอบรสเปรี้ยวอาจใส่น้ำมะนาวลงไปด้วย จะได้น้ำพริกน้ำปู๋ที่มีสีดำๆ จากน้ำปู๋สีเขียวจากพริกสด รสชาติเผ็ดเค็ม มันเล็กน้อยอร่อยถูกใจ และ “ชู้รัก” ของน้ำพริกน้ำปู๋ที่กินอร่อยเข้ากันได้อย่างดียิ่งคือ หน่อไม้ไร่ต้ม นั่นเอง ซึ่งพอถึงหน้าฝน ป่าทางเหนือจะมี “หน่อไม้ไร่” มากมาย ตามตลาดในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคเหนือ จึงมีชาวบ้านเอาหน่อไม้ไร่ที่ไป หักมาจากกอในป่า แล้วต้มให้หายขื่น นำออกมาวางขายกันดาษดื่นไปหมด สมัยก่อน หน่อไม้ไร่จะขายเป็นมัด มีประมาณ ๕- ๖ หน่อ ขายกันมัดละห้าสิบสตางค์ บางทีกับคนรู้จัก อาจจะซื้อได้ในราคา ๓ มัด ๑ บาท แต่ส่วนมากจะมัดห้าสิบสตางค์ยืนพื้น ปัจจุบันนี้ขายเป็นกิโลกรัม ต้นปีก็แพงหน่อย ปลายปีอย่างช่วงนี้ก็ประมาณ ก.ก.ละ ๒๐ บาท “หน่อไม้ไร่” ที่เอามาต้มจนหายขื่นแล้ว มันจะมีรสหวาน เอามาจิ้มกับน้ำพริกน้ำปู๋ หรือน้ำพริกกะปิ น้ำพริกอี่เก๋ โอ๊ย....สารพัดน้ำพริก แซ่บ...หลาย แต่ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าอร่อยเหาะเหมาะเหม็งก็ น้ำพริกน้ำปู๋เนี่ย..แหละค่ะ
น้ำปู๋ เป็นอาหารที่ชาวชนบทล้านนานิยมรับประทาน เป็นอาหารที่ทุกคนรู้จัก อร่อยถูกปากถูกใจ เป็น
สิ่งจำเป็นในครัวพอ ๆ กับปลาร้าในไหของคนอีสานเลยแหละ กรรมวิธีผลิตน้ำปู๋ ก็จะเริ่มต้นที่ไปเก็บปูนาตอนเที่ยง ๆ เพราะช่วงนั้น แสงแดดจะส่องทำให้น้ำในนาร้อน บรรดาปูนาก็จะหลบมาอาศัยตามคันนา ได้โอกาสเราก็เก็บใส่ข้องไว้ทำน้ำปู๋อาหารอร่อย ของครอบครัว จากนั้นก็นี่เลย
๑ . แช่ปูนาในน้ำประมาณ ๑- ๒ ชั่วโมง เพื่อให้ดินโคลนหลุด และนำมาล้างให้สะอาด

๒. นำปูนาตำในครกให้ละเอียด ใส่เครื่องปรุงรส ได้แก่ ใบตะไคร้ ใบขมิ้น ตำให้เข้ากันเพื่อดับกลิ่นคาว

๓. นำปูที่ตำแล้วมาคั้นน้ำ ใช้กระชอนหรือผ้าขาวบางกรอง โดยการคั้นเอาน้ำหัวและน้ำหาง น้ำปูที่คั้นได้เรียกว่า น้ำปู๋ดิบ
๔. นำน้ำปู๋ดิบใส่ในหม้อดิน ใช้ใบตองตึง (ต้นตองตึง เป็นไม้ป่ายืนต้นใบลักษณะคล้ายต้นสัก แต่ใบตองตึงไม่มีขน ใบที่ยังไม่แก่คนในภาคเหนือ นิยมเก็บมาห่อของเช่นห่อข้าวห่อของจิปาถะ) ปิดให้สนิทเพื่อไม่ให้แมลงเข้าไป หมักทิ้งไว้ ๑ คืน หลังจากนั้นน้ำปูที่หมักแล้วนำไปเคี่ยวโดยใช้ไฟปานกลาง ต่อมาจะใช้ไฟอ่อน ใส่เครื่องปรุงรสคือ เกลือ เคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณ ๕-๖ ชั่วโมง จนน้ำปูเหนียวข้น จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็น เก็บใส่ออม (กระปุก) ไว้กินนาน ๆ ตลอดทั้งปี เป็นการถนอมอาหารตามธรรมชาติที่ไม่ต้องใส่สารเคมี
เคล็ดลับการทำน้ำปู๋ ให้ใส่ใบมะกอกลงไปจะได้น้ำปู๋ที่มีสีดำสนิท หอมหวนชวนพามาเป็นชู้รักกับหน่อไม้ไร่ต้มเป็นอย่างยิ่ง ……….
ภาพประกอบ : จาก Internet
โดย.....อรัญญา ฟูคำ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

อร่อยๆกับขนมล้านนา ๖

สวัสดีครับครั้งนี้ผมมาคุยขนมล้านนาที่เป็นขนมที่รู้จักกันทุกภาค แต่จะมีชื่อต่างๆออกไป นั้นคือ “ขนมจ๊อก”หรือเรียกกว่า “ขนมเทียน” หรือบางแห่งเรียก “ขนมนมสาว” คำว่า “จ๊อก” เป็นคำกริยาที่หมายถึง การทำสิ่งของให้มีลักษณะเป็นคล้ายๆ กระจุก มียอดแหลม เป็นขนมที่เห็นกันทั่วไปหาทานง่ายแต่จะมีมากสุด ทางภาคเหนือจะทำก็ในช่วงเทศกาลสงกรานต์มาแต่โบราณ งานบุญต่างๆ และวันตรุษจีน “ขนมจ๊อก” นั้นมีอยู่สองไส้ คือ ไส้เค็มที่ไส้ทำมาจากถั่วเขียวต้มบดแล้วผสมเครื่องปรุง อีกไส้ก็คือไส้หวานที่ทำมาจากมะพร้าวและน้ำตาลมะพร้าว
ส่วนผสมแป้งห่อ
>>>>>>>>>>แป้งข้าวเหนียวดำหรือขาว ๓ ถ้วยตวง
>>>>>>>>>>เกลือป่น ๑ ช้อนชา
>>>>>>>>>>น้ำมันพืช ๒ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำแป้ง
>>>>>>>>>>นวดแป้งโดยใส่น้ำทีละน้อย ขณะที่กำลังนวดใส่เกลือป่นลงไปด้วย นวดจนกระทั่งแป้งนิ่ม เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดฝา หรือใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำพอหมาดๆคลุมไว้ (จะใช้หัวกะทิสำหรับนวดก็ได้)
ส่วนผสมไส้เค็ม
>>>>>>>>>>ถั่วเขียวลอกเปลือกนึ่งสุก ๑ ๑/๔ ถ้วยตวง
>>>>>>>>>>น้ำตาลทราย ๑ ๑/๔ ถ้วยตวง
>>>>>>>>>>พริกไทยป่น ๑ ช้อนโต๊ะ
>>>>>>>>>>กระเทียมสับ ๑ ช้อนชา
>>>>>>>>>>เกลือป่น ๒ ช้อนโต๊ะ
>>>>>>>>>>น้ำมันพืช ๑/๔ ถ้วยตวง
วิธีทำไส้เค็ม
>>>>>>>>>>บดถั่วให้ละเอียด เคล้ากับเกลือป่น น้ำตาลทราย พริกไทยป่นให้เข้ากันใส่น้ำมันพืช ลงในกระทะเจียว กระเทียมให้หอม ใส่ถั่วลงผัดให้เข้ากันดี ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น ปั้นเป็นก้อนกลม
ส่วนผสมไส้หวาน
>>>>>>>>>>มะพร้าวขูดฝอย ๕ ถ้วยตวง
>>>>>>>>>>น้ำตาลปีบ ๒ ๑/๒ ถ้วยตวง
วิธีทำไส้หวาน
>>>>>>>>>>ผสมมะพร้าวขูด น้ำตาลปีบ เข้าด้วยกันใส่ในกระทะทอง ตั้งไฟกลางค่อนข้างอ่อน กวนจนเหนียว ยกลง ปล่อยให้เย็น ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑ / ๒ นิ้ว
วิธีห่อและนึ่ง
>>>>>>>>>>ฉีกใบตองกว้างประมาณ ๑๐ ซม. นำด้านที่ห่อมาทาน้ำมันให้ทั่ว นำแป้งที่นวดมาทำเป็นแผ่นกลม ใส่ไส้ตรงกลาง แล้วห่อแป้งให้มิดไส้ แล้วคลึง เป็นก้อนกลม ทำใบตองเป็นรูปทรงกรวย ใส่ขนมลงในใบตอง พับทบล่าง ซ้าย ขวา นำด้านที่แหลมสอด พับ แล้วห่อจะได้ขนมทรงสามเหลี่ยม นำไปนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ ๒๐ ถึง ๓๐ นาที


เคล็ดไม่ลับ
>>>>>>>>- แป้งสำหรับทำขนมจ็อก บ้างอาจจะผสมแป้งข้าวจ้าวเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เหนียวเกินไป และอาจใส่น้ำอ้อยลงในแป้ง เพื่อให้แป้งมีรสหวาน
>>>>>>>>- มะพร้าวสำหรับทำไส้ขนมจ็อก ควรใช้มะพร้าวที่ไม่แก่เกินไป และไม่อ่อนเกินไป หรือที่เรียกว่า “มะพร้าวทึนทึก”
ข้อมูลจาก
“อาหารพื้นบ้านล้านนา” บนเว็บไซต์ของศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
http://library.cmu.ac.th/ntic/lannafood
มณี พยอมยงค์. (2547). ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 5 ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม. เชียงใหม่ :
ส.ทรัพย์การพิมพ์, 2547
รัตนา ไชยนันท์. (2550). สัมภาษณ์. 28 มิถุนายน.
รัตนา พรหมพิชัย. (2542). เข้าหนมจ็อก. ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ (เล่ม 2, หน้า 821). กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.
เว็บไซต์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jjbd
สวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง