วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การตานก๋วยสลาก

...............การกินสลากหรือสลากภัตต์ หรือการกินข้าวสลาก เป็นวิธีการถวายเครื่องไทยทานแก่พระสงฆ์วิธีหนึ่ง เมื่อวัดและชาวบ้านตกลงกันว่าจะจัดให้มีการกินสลาก ชาวบนต่างจัดเตรียมเครื่องไทยทานทั้งที่จัดใส่ก๋วย เรียกว่า “ก๋วยสลาก”เป็นสลากน้อย และที่จัดแต่งเป็นต้นกัลปพฤกษ์ เป็นสลากหลวง ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สูงและทำเป็นชั้น ๆ อาจเป็น ๓ ชั้นหรือ ๕ ชั้น ๗ ชั้น ตามที่เราต้องการสลากหลวง หรือเรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์ โดยแต่ละชั้นนำวัตถุเครื่องไทยทานมาผูกติดไว้ให้สวยงามปลายสุดที่เป็นส่วนยอดนิยมนำร่มมาเสียบติดไว้ผูกธนบัตรที่ขอบร่มจำนวนเงินตามแต่ความพอใจของผู้จัดทำ สลากหลวงจะมียอดเงินมากกว่าสลากน้อย เมื่อถึงวันที่กำหนดเอาไว้ ชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของก๋วยสลากจะแห่เครื่องไทยทานเข้าวัด และตั้งกัณฑ์สลาก โดยแต่ละกัณฑ์จะมีเส้สลาก เขียนข้อความ อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและมีชื่อเจ้าของกณฑ์ในเส้นสลากด้วย
...............เส้นสลากนั้น แต่ก่อนนิยมเขียนในแผ่นใบตาล ใบลาน แต่ในปัจจุบันนี้ บางครั้งก็ใช้กระดาษแข็งเขียนโดยจะเขียนเท่ากับจำนวนของเครื่องไทยทาน แล้วนำเส้นสลากไปกองรวมกันไว้ในที่กำหนด แต่ส่วนมากจะนำไปวางรวมกันในวิหารหน้าพระประธาน กรรมการจัดจะจัดแบ่งเส้นสลากออกเป็นกอง ๆ ตามจำนวนพระภิกษุสามเณรที่ทางวัดได้นิมนต์มาร่วมพิธี และจัดแบ่งให้แก่พระประธานด้วย ซึ่งสลากของพระประธานนี้จะตกเป็นของวัดที่เป็นเจ้าของงาน หากว่ามี ก๋วยสลากจำนวนมาก พระภิกษุสามเณรก็จะได้เส้น
สลากมาก พระภิกษุจะได้ประมาณ ๒๐ เส้น ส่วนสามเณรอาจจะได้ประมาณ ๑๐ เส้น ส่วนเส้นสลากที่เหลือก็จะนำไปสบทบถวายพระประธาน เมื่อเสร็จจากการแบ่งเส้นสลากแล้ว คณะกรรมการวัดก็จะนำเส้นสลากที่แบ่งแล้วจำนวน ๑ มัด ไปประเคนพระที่อาวุโส ซึ่งเป็นประธานในพิธี ต่อจากนั้นกรรมการวัดจึงนำเส้นสลากไปถวายพระภิกษุสามเณร ตามลำดับ เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาเสร็จแล้วชาวบ้านก็จะแยกย้ายกันไปนั่งตาม จุดที่ทางวัดจัดไว้ให้ เมื่อถึงเวลาอ่านเส้นสลากชาวบ้านเจ้าของกัณฑ์สลากก็จะพากันตามหาเส้นสลากของตนที่อยู่ในมือของพระภิกษุสามเณรจนพบ หลังจากนั้นพระภิกษุสามเณรที่ได้เส้นสลากก็จะอ่านเส้นสลากเสร็จแล้วชาวบ้านก็จะ ถวายกัณฑ์สลากให้ เมือรับพรจากพระเสร็จแล้ว จะรับเส้นสลากของตนไปเผาพร้อมกับอุทิศส่วนบุญกุศลไปหาผู้ตายเป็นอันเสร็จพิธี
...............สำหรับเครื่องไทยทานที่จัดทำขึ้นเป็นต้นกัลปพฤกษ์ เจ้าของต้องนิมนต์พระภิกษุสามเณร ที่ได้รับเส้นสลากไปยังที่ตั้งของเครื่องไทยทานเพื่อถวาย การทำบุญกินสลาก บางครั้งจัดทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น นก ช้าง วัว ไก่ สิงห์โต หรือรูปอะไรก็ได้ตามแต่เราจะต้องการ ทำให้มีขนาดที่ใกล้เคียมกับของจริง
จะทำด้วยวัสดุอะไรก็ได้ อาจจะใช้ฟางข้าว ไม้ไผ่ หรือไม้ และตกแต่งให้สวยงาม เพราะมีความเชื่อที่ว่าถ้าหากถวายสัตว์ชนิดใดแล้วชาติหน้าจะได้เป็นเจ้าของสัตว์ชนิดนั้น ๆ
...............การกินข้าวสลากนิยมจัดหลังจากออกพรรษาแล้ว วัดส่วนใหญ่ไม่ได้จัดพิธีนี้ทุกปี เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการจัดทำกัณฑ์สลาก ดังนั้นบางวัดอาจจะจัดทุกปีแต่บางวัดอาจจัดปีเว้นปี หากในปีใดที่ไม่ได้จัดพิธีใหญ่โดยการเชิญชาวบ้านต่างหมู่บ้าน ต่างตำบลมาร่วมด้วย ทางวัดก็จะจัดเฉพาะคนภายในหมู่บ้านของวัดที่ตั้งอยู่ก็ได้
...............ประเพณีการกินข้าวสลาก เป็นประเพณีการทำบุญของชาวบ้านที่แสดงออกถึงความสามัคคีและร่วมแรงร่วมใจกันของชาวบ้านในการถวายเครื่องไทยทานแก่พระภิกษุสงฆ์ นอกจากนี้ยังแสดงถึงความสามารถทางด้านศิลปะในการที่จะตกแต่งเครื่องไทยทาน(ต้นกัลปพฤกษ์)ให้สวยงาม นอกจากนี้การกินข้าวสลากยังแสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน ถ้าหากว่าเศรษฐกิจดีชาวบ้านก็สามารถที่จะจัดทำกัณฑ์สลากเป็นต้นกัลปพฤกษ์จำนวนมาก เนื่องจากการทำกัณฑ์สลากเป็นต้นกัลปพฤกษ์นั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
สำหรับประเพณีการกินข้าวสลากของอำเภองาว จังหวัดลำปางนั้น วัดส่วนใหญ่จะจัดพิธีเป็นประจำทุกปี แต่ก็มีบางวัดที่จัดเฉพาะคนภายในหมู่บ้านเท่านั้น ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าหากทุกคนในท้องถิ่นร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่นเช่นปัจจุบันนี้ ก็จะทำให้ประเพณีอันดีงามเช่นนี้คงสืบทอดไปถึงชั่วลูกชั่วหลานต่อไป
โดย จิราพร มณฑาทอง

สูตรสมุนไพรรักษาฝ้า

"ฝ้า" ถือได้ว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม เกิดจากการผิดปกติของเม็ดสีใต้ผิว เลือดลม แสงแดด ความร้อน เครื่องสำอางค์ การขาดสารอาหาร ความเครียด ฮอร์โมนผิดปกติ เช่น การตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด พบในหญิงมากกว่าชายในวัย 30 - 40 ปีเป็นต้นไป
ลักษณะของฝ้าจะเห็นเป็นปื้นสีดำ หรือน้ำตาล ที่เกิดบนผิวหนัง อาจพบบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และเหนือริมฝีปาก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า
""""""""แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า ทำให้เป็นฝ้ามากขึ้น หรือทำให้ฝ้าเข้มขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น. - ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ เช่น ในระหว่างการตั้งครรภ์ ในวัยหมดประจำเดือน และการรับประทานยา คุมกำเนิด - พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เนื่องจากพบฝ้าได้บ่อยในชาวเอเชียมากกว่าชาวตะวันตก อย่างไรก็ตาม อาจเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมหรือแสงแดดก็เป็นได้ - ยา พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากันชักบางประเภท จะมีผื่นดำคล้ายฝ้าขึ้นบริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า - เครื่องสำอาง การแพ้น้ำหอมหรือสีในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำคล้ายฝ้าได้
การป้องกันการเกิดฝ้า
""""""""ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ สวมหมวกหรือกางร่ม และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกแดด หากฝ้าเกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น โดยปกติแล้วหากหยุดยาคุมกำเนิด ฝ้าก็จะค่อยๆ จางหายไป เช่นเดียวกับฝ้าที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะค่อยๆ จางหายไปหลังคลอด
""""""""การรักษาฝ้าบางคนคิดว่าการใช้ครีมทาฝ้าเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ในช่วงแรกฝ้าจะดูจางลง ผิวหน้าจะดูใสขึ้น แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะโดนแดดไม่ได้ ผิวจะเห่อ ไหม้ กลายเป็นฝ้าหนากว่าเดิม เนื่องจากสารที่เคมีที่เป็นส่วนผสมทำปฏิกิริยาต่อผิว และอาจเป็นอันตรายได้เราจึงมีวิธีรักษาฝ้าโดยใช้สมุนไพรใกล้ตัวมาแนะนำกัน เหมาะสำหรับคนที่เริ่มเป็นฝ้าหรือไม่อยากใช้สารเคมี
สูตรข้าวโอ๊ต+เมล็ดมะม่วงหิมพานต์
ผสมข้าวโอ๊ตบด เมล็ดมะม่วงหิมพานต์บด และน้ำอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ใช้ทาผิวหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก ทำเป็นประจำฝ้าจะจางหายไป
แครอท สลายฝ้า..
สรรพคุณเก๋ๆ ของแครอทที่มากไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน จนคุณสาวๆ อาจจะอดใจไม่ไหว ต้องไปแย่งน้องกระต่ายมากินกันเลยก็เป็นได้ เพราะว่าการกินแครอทวันละ 2 -3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยทำให้ฝ้าที่ขึ้นบนใบหน้าจางลงไปได้เอง ไม่ต้องพึ่งยาเลยนะจ๊ะขอบอก..
สูตรว่านลอกฝ้า
ว่านมีสรรพคุณช่วยลอกฝ้า ลบรอยจุดด่างดำบนใบหน้าและช่วยรักษาสิว
ส่วนผสม วุ้นของว่านหางจระเข้ 300 กรัม
วิธีทำ การนำเอาว่านหางจระเข้มาใช้นั้นคุณควรนำมาจากต้นที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ให้ตัดใบของว่านหางจระเข้ออกมา 1 ใบ โดยเลือกเอาใบที่อยู่ด้านล่างสุดเพราะจะมีขนาดใหญ่และมีปริมาณวุ่นอยู่มาก จากนั้นนำมาล้างให้สะอาดแล้วใช้มีดเฉือนบริเวณที่โคนใบของว่านโดยกะให้ใช้พอใน 1 ครั้ง ใช้พลาสติกหรือกระดาษทิชชูแปะตรงรอยที่เฉือนออกมาจากนั้นจึงลอกผิวใบที่หุ้มวุ้นไปใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้เหลวจนเป็นเจล หรือคุณอาจใช้มือขยำเอาก็ได้เหมือนกัน นำวุ้นที่ปั่นได้มาใส่ถ้วย ต่อจากนั้นคุณก็ทำการล้างหน้าด้วยสบู่ล้างหน้ากับน้ำอุ่น หรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าของคุณ เช็ดหน้าให้แห้ง
""""""""คลุมผมให้มิดชิดแล้วน้ำที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้ายกเว้นบริเวณรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เมื่อครบกำหนดเวลาให้คุณล้างออกด้วยสบู่กับน้ำวุ้นควรทำเช่นนี้ติดต่อกันอย่างน้อย 3 วันต่อ 1 ครั้ง
""""""""ในบางรายอาจมีอาการแพ้วุ้นของว่านหางจระเข้คุณจึงควรทำการทดสอบดูก่อน โดยนำเอาวุ้นมาทาบริเวณท้องแขนทิ้งไว้ประมาณ 1 ช.ม. ถ้าไม่มีอาการใดๆ แสดงว่าคุณใช้สูตรนี้ได้อย่างปลอดภัย
สูตรหน้าใสไร้ฝ้า...
* เอาหัวผักกาดหั่นเป็นแว่นบาง ๆ ทาถูบริเวณที่เป็นฝ้าให้ทั่วทาทิ้งไว้ครั้งละประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกให้หมดด้วยน้ำสะอาดทำเช้าและเย็น ฝ้าจะจางและหายไปภายใน 10 วัน
* ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าตอนเช้าและก่อนนอนทุกวันทาหน้าทิ้งไว้ไม่ต้องล้างออกประมาณ 5 นาที เพราะน้ำเมือกจะแห้งไปเอง ไม่ทำให้รู้สึกรำคาญ
* ฝานแตงกวาเป็นแว่นบาง ๆ แล้วปิดแปะลงบนใบหน้าหรือจะใช้ถูให้ทั่วใบหน้าก็ได้ ทิ้งไว้พอแห้งก็ล้างออก ทำก่อนนอนนอกจากจะใช้รักษาฝ้าแล้วยังช่วยรักษาสิวได้ดีอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก www.samoonprithai.com , women.thaiza.com
โดย หัทยา ตันป่าเหียง

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ขอบข่ายงานวัฒนธรรม

อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา มาถ่ายทอด
สิ่งสุดยอดคือ ส่งเสริมเติมเต็มกิจกรรม
นำบุคคลโดดเด่นวัฒนธรรม มาเล่นนำ
ที่เลิศล้ำ คือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้คู่กันไป
1. รณรงค์
2. ประชาสัมพันธ์
3. ปลูกฝังจิตสำนึก
· ขจัดร้าย
- ลดปัจจัยพื้นที่ชั่วแหล่งมั่วสุม
- ทำลายสื่อลามก จัดระเบียบนักเรียน นักศึกษา
· ขยายดี
- มีสื่อสร้างสรรค์ มีกิจกรรมที่ดี
- ให้เด็กได้แสดงออก
- มีโรงเรียน ชุมชน เอกชนให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
- มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง คอยส่งเสริมเติมเต็ม
· มีภูมิคุ้มกัน นำมิติทางวัฒนธรรมมีการขับเคลื่อน
- รักษาสืบทอด
- สร้างค่านิยมจิตสำนึกและภูมิปัญญาไทย
- นำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างคุณค่าทางสังคมและเพิ่มมูลค่า
ทางเศรษฐกิจ
- การบริหารองค์ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
โดย นงนุช ป่าเขียว

๗ สหชาติ ของพระพุทธเจ้า


ในวันเพ็ญเดือน ๖ วันที่พระกุมารประสูตินั้น มีมนุษย์และสัตว์กับสิ่งซึ่งเป็นสหชาติมงคลบังเกิดร่วมถึง ๗ อัน "สหชาติ" นั้นหมายถึงผู้เกิดร่วมด้วย ๗ สหชาติของพระพุทธเจ้า คือ

๑. พระนางพิมพา หรือพระนางยโสธรา เป็นพระราชบุตรีของประเจ้าสุปปพุทธะกรุงเทวทหะ เป็นพระชายาของพระสิทธัตถะเมื่อมีประชนม์ได้ ๑๖ พรรษา เป็นพระมารดาของพระราหุล ภายหลังออกบวชมีนามว่า พระภัททกัจจานา

๒. พระอานนท์ เป็นเจ้าชายในศากยวงศ์ โอรสของพระเจ้าสุกโกทนะ ซึ่งเป็นพระเจ้าอาของเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านออกบวชในพุทธศาสนา และได้รับเลือกเป็นพระอุปัฏฐากประจำพระองค์ของพระพุทธศาสนาและได้รับเลือกเป็นพระอุปัฏฐากประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้าได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในหลายด้าน ท่านบรรลุพระอรหัตหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน เป็นกำลังสำคัญในคราวทำปฐมสังคายนาท่านดำรงชีวิตสืบมาจนถึงอายุได้ ๑๒๐ ปี จึงปรินิพพานในอากาศเหนือแม่น้ำโรหิณี ซึ่งเป็นเส้นกั้นแดนระหว่างแคว้นของพระญาติสองฝ่ายคือศากยะ และโกลิยะ

๓. นายฉันนะ เป็นอำมาตย์คนสนิท และเป็นสารถีของเจ้าชายสิทธัตถะในวัง เสด็จออกบรรพชาเมื่อมี พระชนม์ได้ ๒๙ พรรษา นายฉันนะตามเสด็จไปด้วยและนำเครื่องอาภรณ์พร้อมทั้งคำกราบทูลของเจ้าชาย สิทธัตถะกลับกรุงกบิลพัสดุ์ ภายหลังบวชเป็นภิกษุถือตัวว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาแต่เก่าก่อน หลังจาก พระพุทธเจ้าปรินิพานแล้ว ถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์หายพยศและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

๔. อำมาตย์กาฬุทายี เป็นพระสหายสนิทของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์พระเจ้าสุทโธนะส่งไปทูลเชิญพระศาสดาเพื่อเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์อำมาตย์กาฬุทายีไปเผ้าพระศาสดาที่กรุงราชคฤห์ ครั้นได้ฟัง พระธรรมเทศนาบรรลุพระอรหัตตผล อุปสมบทเป็นภิกษุแล้วทูลเชิญพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ ในบรรดาผู้ทำตระกูลให้เลื่อมใส

๕. ม้ากัณฐกะ ม้าพระที่นั่งของเจ้าชายสิทธัตถะ ตัวม้ายาวจากคอถึงหาง ๑๘ ศอก ส่วนสูงก็เหมาะสมกับส่วนยาว มีสีขาวผ่องเหมือนเปลือกหอยสังข์ที่ขาวสะอาด ในราตรีที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีออกจากพระราชวัง เพื่อเสด็จออกพรรพชา การเดินทางครั้งนี้มีนายฉันนะเกาะหางม้ากัณฐกะไปด้วย ม้ากัญฐกะเดินทางถึงแม่น้ำอโนมาใช้เวลาเที่ยงคืนถึงเช้าระยะทาง ๓๐ โยชน์ (๔๘๐ กิโลเมตร) กระโดดครั้งเดียวก็ข้ามแม่น้ำอโนมา เมื่อข้ามฝั่งแม่น้ำแล้วเจ้าชายสิทธัตถะจึงรับสั่งว่า กัณฐกะเจ้าจงกลับไปยังเมืองกบิลพัสดุ์เถิด ม้ากัณฐกะจึงเหลียวมองไปทางเจ้าชายสิทธัตถะ พอเจ้าชายลับสายตาไป ม้าก็ถึงแก่ความตายเนื่องจากเสียใจ และได้ไปเกิดอยู่ในดาวดึงส์ มีชื่อว่า "กัณฐกเทวบุตร"

๖. ต้นมหาโพธิ์ เจ้าชายสิทธัตถะขณะที่มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ทรงบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ใต้ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ภายในป่าสาละ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ (ปัจจุบันคือ ตำบลพุทธคยา แขวงเมืองอุรุเวลาเสนานิคม ของรัฐพิหาร) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑ เกิดพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะ มีอายุ ๓๐๕ ปี (ต้นโพธิ์ตรัสต้นที่ ๒ มีอายุ ๘๙๑ ปี ต้นที่ ๓ มีอายุ ๑,๒๒๗ ปี ต้นโพธิ์ตรัสรู้ปัจจุบันเป็นหน่อที่ ๔ ปลูกราว พ.ศ. ๒๔๓๔)

๗. ขุมทรัพย์ทั้งสี่ ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ หรือนิธิกุมภี คือขุมทอง ๔ ขุม ได้แก่ ขุมทองสังขนิธี ขุมทองเอลนิธิ ขุมทองอุบลนิธี ขุมทองปุณฑริกนิธี ที่มา : หนังสือ ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดย ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

โดย ทินกร สุริกัน

บ่อโข้งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อำเภอสบปราบ


บ่อโข้ง “โข้ง” มาจากคำว่า โข่ง ซึ่งเป็นชื่อหอยโข่ง เป็นหอยฝาเดียวและบ่อมีลักษณะเหมือนหอยโข่ง บางคนก็เรียกว่า บ่อค้ง มาจากคำว่า “บ่อคง” คือ คงทน ถาวร (ไม่แห้งจะมีน้ำอยู่ตลอดเวลา) บางคนก็สันนิษฐานว่า บ่อค้ง คือ มุ้ง เป็นภาษาเหนือซึ่งแปลว่า หลุม บ่อ
................บ่อโข้ง อยู่ในท้องที่ตำบลสบปราบ อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง อยู่ทางทิศตะวันออกของ ๓ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๓ บ้านวังพร้าว หมู่ที่ ๖ บ้านวัฒนาและหมู่ที่ ๗ บ้านสบเรียง ถนนทางเข้าเข้าได้ ๓ ทาง คือ ตรงหน้าโรงเรียนบ้านวังพร้าว-สบเรียง หน้าวัดศรีบุญเรืองและทางบ้านวัฒนา
................บ่อโข้งเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของอำเภอสบปราบ ซึ่งคนสมัยก่อน ๆ เล่าให้ฟังว่า ในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้เสด็จธุดงค์เพื่อโปรดสัตว์มาจากบ้านแม่ไทย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง อยู่ทางทิศเหนือของตำบลสมัย อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง และได้มีสิงห์สาราสัตว์หลายชนิดได้ติดตามพระองค์มา เช่น เสือ ช้าง ม้า วัว ควาย สุนัข ไก่ ฯลฯ พอเดินทางมาถึงสถานที่บ่อโข้งในปัจจุบัน บรรดาสัตว์ทั้งหลายหิวน้ำ เพราะบริเวณนั้นเป็นภูเขา สัตว์ทั้งหลายได้ทูลต่อพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระ ภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ด้อยซึ่งความรู้และปัญญา ไม่สามารถจะเสาะแสวงหาแหล่งน้ำดื่ม เพื่อประทังชีวิตได้ จึงขอพึ่งพระบารมีของพระโพธิสมภาร พระพุทธเจ้าได้ทรงฟังแช่นนั้น จึงเกิดพระเมตตายิ่งนัก จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์มีพระวรกายสูงใหญ่ และทรงใช้พระอังคุฐ (หัวแม่มือ) กดลงบนแผ่นหินขนาดใหญ่ ปรากฏว่าแผ่นหินที่พระองค์ทรงกดลงนั้นขนายออกและเป็นบ่อ ทันใดนั้นตรงก้นบ่อก็มีน้ำทิพย์พุ่งออกมาจนเต็มบ่อ บรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นดังนั้นเกิดความปิติยินดีอย่างท้วมท้น จึงกล่าวคำว่า “สาธุ” พร้อมกันถ้วนหน้า และตรงรีเข้าไปแย่งกันดื่ม เพื่อบรรเทาความกระหายน้ำ สัตว์บางชนิดก็ไม่ค่อยสบายก็กลับมีสุขภาพแช็งแรง ในขณะที่พระองค์ทรงใช้พระอังคุฐกดลงบนแผ่นหินนั้น พระองค์ทรงท่าประทับคร่อมเพื่อใช้แรงกด พระองค์ใช้พระบาทยันกับหินอีกก้อนหนึ่ง จึงเกิดรอยพระบาทขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับบริเวณบ่อโข้ง มีปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนี้ บรรดาสัตว์ป่าและชาวบ้านที่ไปเลี้ยงวัว ควาย ไปทำไร่ ทำนา ก็ใช้น้ำนี้ดื่ม น้ำจะไม่แห้งจะเต็มบ่อตลอดไม่ว่าฤดูไหน ๆ ประชาชนที่เห็นก็เล่ากันต่อ ๆ มา มีชาวบ้านต่างตำบลก็พากันนมัสการ นำไปดื่ม-อาบเพื่อป้องกันโรคสืบกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
................ในวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ (เหนือ) จะมีประชาชนไปทำบุญกันบริเวณบ่อโข้งทุกปี ตอนเช้าพิธีทางศาสนา ตอนบ่ายจะมีการจุดบ้องไฟแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน ตอนจะกลับบ้าน ทุกคนจะนมัสการ และนำน้ำจาบ่อโข้งไปเผื่อแผ่ให้ครอบครัวและลูกหลานทางบ้าน เพื่อนำไปอาบ- ดื่ม เป็นสิริมงคลและป้องกันโรค-รักษาโรค ชาวอำเภอสบปราบจะมีความเชื่อว่า บ่อโข้ง เป็นบ่อ น้ำศักดิ์สิทธิ์ของอำเภอสบปราบ ดังคำขวัญอำเภอสบปราบ “อุทยานแห่งชาติดอยจง มั่นคงวัฒนธรรม งามล้ำน้ำตกแม่ไซงู เชิดชูบ่อน้ำทิพย์ อ่างนับสิบรอบเมือง”

โดย พรทิวา ขันธมาลา

สมุนไพรไทยกับลูกน้อยของคุณ

1. หัวหอม หรือหอมแดง สรรพคุณ เป็นพืชที่มีกลิ่นฉุน และรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมและทำให้ร่างกายอบอุ่น (เป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) บรรเทาอาการ หวัด คัดจมูก หรือหายใจไม่สะดวกเนื่องจากหวัดวิธีการใช้ ทุบหอมแดงประมาณ 2-3 หัว ห่อด้วยผ้าแล้วนำไปวางใกล้หมอนเวลานอนหรือนำมาต้มกับน้ำ แล้วรมไอให้ลูกน้อยได้สูดดม แต่มีข้อควรระวังก็คือ อย่าให้เข้าตา หรือถูกผิวหนังลูกค่ะ
2. ดอกกานพลู สรรพคุณ มีกลิ่นหอมฉุนและรสเผ็ดร้อน เป็นยาขับลม บรรเทาอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ วิธีการใช้ ใช้ดอกกานพลูประมาณ 2-3 ดอก ใส่ในน้ำร้อนนำมาชงนมให้ลูก
3. ขมิ้นชัน สรรพคุณ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ลดการอักเสบตามผิวหนัง บรรเทาอาการ ผดผื่นคันตามร่างกาย วิธีการใช้ นำขมิ้นชันสดมาฝนให้ได้เนื้อขมิ้นเล็กน้อย ผสมกับดินสอพองทาบริเวณที่เป็นหรืออาจจะใช้ผงขมิ้นผสมน้ำต้มสุกทาบ่อยๆ บริเวณที่เป็น
4. ใบพลูหรือใบตำลึง สรรพคุณ มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา บรรเทาอาการ ผื่นคันเนื่องจากเกิดลมพิษ วิธีการใช้ นำใบพลูหรือใบตำลึงประมาณกำมือหนึ่ง ล้างให้สะอาด จากนั้นบดหยาบผสมดินสอพองหรือข้าวสารเล็กน้อยก็ได้ แล้วนำมาทาแก้ผื่น
5. ดินสอพอง คุณสมบัติ เป็นตัวยาที่มีความเย็น ใช้แก้พิษร้อนกับร่างกาย สมัยโบราณนิยมใช้ทำแป้งประร่างกาย เพื่อให้เย็นสบาย บรรเทาอาการ ผื่นคันตามผิวหนัง ช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น วิธีการใช้ ใช้ดินสอพองที่สะตุแล้ว ผสมน้ำนิดหน่อยทาบริเวณที่เกิดอาการ การสะตุดินสอพอง คือ การทำดินสอพองให้สะอาดและเป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วย ทำได้โดย นำดินสอพองที่เป็นก้อนมาบดเป็นผงให้ละเอียด ใส่ในหม้อดินแล้วตั้งไฟให้ร้อน ยกลง รอให้ดินสอพองเย็น แล้วมักจะใส่ผงขมิ้นชัน เรียกว่า ดินสอพองสะตุ
6. ว่านหางจระเข้ สรรพคุณ น้ำเมือกของว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติเป็นยาเย็น สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาอาการ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก จะช่วยลดอาการแสบร้อน สมานแผลให้ดีขึ้น วิธีการใช้ ปอกเปลือกเอาเฉพาะวุ้น ขูดให้เป็นน้ำเมือก ทาบริเวณที่เป็นแผล ควรระวัง เปลือกว่านหางจระเข้จะมียางสีเหลืองซึ่งจะระคายเคืองผิวหนัง
7. พญายอ สรรพคุณ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ระงับการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก บรรเทาอาการ แผลในปาก เริม และแมลงกัดต่อย วิธีการใช้ นำส่วนใบมาขยี้ให้น้ำยาออกมา แล้วค่อยนำไปทาบริเวณที่เป็นบ่อยๆ8. เปลือกต้นแค สรรพคุณ เป็นสมุนไพรรสฝาด ที่ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย บรรเทาอาการ ท้องร่วง และช่วยสมานแผล วิธีการใช้ ใช้เปลือกต้นแคฝนให้ยุ่ย นำไปป้ายบริเวณที่เป็นแผล หรือนำเปลือกต้นแคมาต้มให้ได้น้ำยาเข้มข้นแล้วใช้ป้ายหรือทาบริเวณที่เป็นแผล
8. ประคำดีควาย สรรพคุณ มีสารสำคัญ (Saponin) ที่ทำให้เกิดฟอง บรรเทาอาการ ชันตุ พุพองตามหนังศีรษะหรือผิวหนัง วิธีการใช้ ใช้ผลแก่ 4-5 ผล ทุบพอแตกมาต้มเอาแต่น้ำประมาณ 1 ถ้วย ทาผิวหนังบริเวณที่เป็น เช้า–เย็น หรือนำมาแกะเอาแต่เนื้อ ตีกับน้ำจนเป็นฟองใช้สระผมเด็กจนกว่าจะหายค่ะ และไม่ควรให้เข้าตาจะทำให้แสบตา
9. กะเพรา สรรพคุณ เป็นพืชรสเผ็ดร้อน ช่วยยับยั้งเชื้อราที่ผิวหนัง บรรเทาอาการ เกลื้อนน้ำนมวิธีการใช้ นำใบกะเพรา (มักใช้กะเพราแดง) มาขยี้ และทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน วันละ 3 - 4 ครั้ง จนกว่าจะหายก่อนเลือกใช้สมุนไพร คุณแม่ต้องรู้อาการของลูกก่อนว่า เป็นอาการร้ายแรงหรือเกิดจากโรคประจำตัว ที่ต้องระมัดระวังหรือไม่ เพื่อดูแลอาการได้เหมาะสม ไม่เกิดผลข้างเคียง บางอาการเจ็บป่วย ที่ต้องใช้สมุนไพรดูแล เช่น มีเสมหะ จำเป็นต้องกวาดยา ก็ควรเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาดด้วยค่ะ เช่น ล้างมือก่อนกวาด หรือทายาในช่องปาก เป็นต้น
โดย สุพัชรีย์ เป็งอินตา

น้ำในหูไม่เท่ากัน ......ใครเป็นยกมือขึ้น

โรคเมเนียส์หรือน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน ทำให้เสียความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว (เกิดอาการวิงเวียน) และการได้ยิน (เกิดอาการหูตึง แว่วเสียงดังในหู)ส่วนมากจะเป็นเพียงข้างเดียว ประมาณร้อยละ 10 - 15 อาจเป็นทั้งสองข้าง โรคเมเนียส์มีสาเหตุอย่างไร...สันนิษฐานว่าโรคนี้เกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณของเหลวในหูชั้นในส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัวซึ่งส่งผลกระทบต่อประสาทการทรงตัวและประสาทการได้ยินโรคเมเนียส์มีอาการอย่างไร...มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวด้วยอาการวิงเวียนอย่างรุนแรงจนบางครั้งทำให้ผู้ป่วยล้มลงผู้ป่วยจะรู้สึกว่าพื้นบ้านหรือเพดานหมุนมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรงและอาจมีอาการตากระตุก อาการวิงเวียนอาจเป็นครั้งละไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมงแล้วหายไปได้เอง แต่จะกำเริบได้เป็นครั้งคราว อาจทิ้งช่วงห่างกันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นปีๆ ซึ่งไม่ค่อยแน่นอน ผู้ป่วยมักมีอาการหูตึงและแว่วเสียงดังในหูซึ่งเป็นพร้อมกับอาการวิงเวียนและจะยังคงเป็นอยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่ไม่มีอาการวิงเวียน เสียงที่ไม่ได้ยินมักเป็นเสียงต่ำ เช่น เสียงนาฬิกา เสียงกริ่งโทรศัพท์ เป็นต้น อาการวิงเวียนมักจะเป็นมากเวลาร่างกายเหนื่อยล้าหรือมีภาวะตึงเครียดทางจิตใจ แต่จะเป็นห่างขึ้นเมื่อสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีและจิตใจไม่เครียด ดังนั้น ผู้ป่วยควรงดอาหารเค็มจัด งดเหล้าและบุหรี่ และดื่มน้ำให้น้อยลงเพื่อลดปริมาณของเหลวในหูชั้นในอาจช่วยให้อาการกำเริบห่างขึ้น.....และอีกวิธีหนึ่งคือต้องไปพบแพทย์ด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีมีประโยชน์จาก : http://www.vcharkarn.com/ (วิชาการดอทคอม)
โดย รัตนา เกิดเวียงใหม่

ดนตรีบำบัดในผู้ป่วย

ท่านทราบหรือไม่ว่า การนำดนตรีมาใช้รักษาความเจ็บป่วย ได้มีมานานประมาณหลายพันปีแล้วในยุคกรีก ได้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัย ผลของดนตรีในแง่การรักษาอย่างจริงจังมาประมาณกว่า 50 ปี แล้ว พบว่าดนตรีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์ สามารถนำมาใช้ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ได้ผลดีในเรื่องความเจ็บปวด ลดความวิตกกังวล ความกลัว เพิ่มกำลังการเคลื่อนไหว สร้างแรงจูงใจให้เกิดสติ ความนึกคิด อารมณ์ และจิตใจที่ดี ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ผ่อนคลาย และเป็นสุขได้โดยนิยมใช้ในห้องผ่าตัด ห้องคลอด หอผู้ป่วยมะเร็ง ICU ฯลฯ เป็นต้น
ข้อดีของการนำดนตรีมาใช้
1. เพื่อทำให้รู้สึกเจ็บปวดลดลง มีความทนทานต่อความเจ็บปวดได้มากขึ้น ลดความกลัวและใช้ยาน้อยลง
2. ทำให้ผู้ป่วยได้ผ่อนคลายจิตใจ มีความสุขเพลิดเพลิน ลืมความทุกข์ ความเจ็บปวดชั่วขณะ
3. ทำให้ผู้ป่วยมีทัศนคติที่ดีต่อทีมงานผู้รักษา แสดงออกในด้านดี
4. ช่วยทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
ขั้นตอนการใช้ดนตรีบำบัดเพื่อระงับอาการปวด
1. ต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้ป่วยก่อน ผู้ป่วยควรมีความพร้อมที่จะใช้วิธีดนตรีบำบัด
2. การสำรวจผู้ป่วยในเรื่องประสบการณ์ด้านดนตรี ประเภทเพลงที่ผู้ป่วยชอบ
3. จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบายที่สุด เจ็บปวดน้อยที่สุด
4. ควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิเย็นสบาย ไม่มีเสียงรบกวน ปรับแสงสีในห้องให้เย็นตา
5. เลือกใช้เครื่องเสียงที่มีคุณภาพ ที่ผู้ป่วยจะสามารถใช้ได้เองด้วยตนเองตามสะดวกและปลอดภัย
6. จัดเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือดูแล สอน ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจผู้ป่วย ขณะที่ใช้วิธีการดนตรี
ลักษณะของดนตรีที่ใช้
1. ควรเป็นเพลงบรรเลง ไม่ควรมีเนื้อร้อง, มีเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงนก น้ำตก ฯลฯ
2. มีจังหวะที่ช้า มั่นคง สม่ำเสมอ ขนาดช้าถึงปานกลางประมาณ 70-80 ครั้ง/นาที
3. ทำนองราบเรียบ นุ่มนวล ผ่อนคลายสดชื่น สอดคล้อง ระดับเสียงปานกลาง - ต่ำ
5. ความเข้มของเสียง ไม่ดังมาก ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้ป่วย
6. ประเภทของดนตรีที่นิยม เช่น พิณ เปียโน กีต้าร์ วงออร์เคสตร้า แจ๊สแบบช้า นุ่มนวล Pop Classic
7. เป็นดนตรีที่ผู้ป่วยมีส่วนในการคัดเลือก และอาศัยความคุ้นเคย ความชอบของผู้ป่วยร่วมด้วย

ผลการศึกษางานวิจัยของ เสาวณีย์ สังฆโสภณ
โดย มันทนา กันสิทธิ์

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด บท ๓

13. ขึ้นฉ่าย ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย
14. พืชตระกูลถั่ว (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้,มะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
15. ทับทิม ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้าง พิษลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
16. กระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้
17. เมล็ดแฟลกซ์ ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ มีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล มีสารอื่นที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย
18. มะนาว เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
19. หัวหอม ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่
20. สาหร่าย เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก
..................................ที่มา www.iqraforum.com
โดย วนิดาพร ธิวงศ์

ไม้แกะสลักบ้านหลุก


ประวัติการแกะสลัก
.........ชาวอำเภอแม่ทะโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมู่บ้านน้ำโท้ง บ้านหลุก บ้านหลุกแพะ และบ้านเหมี่ยง ตำบลนาครัวมีฝีมือในการแกะสลักไม่มาแต่โบราณ สังเกตได้จากเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น ขันโตก ด้ามกระบวยตักน้ำ ลูกกรง ราวบันได รวมไปถึงไม้ค้ำต้นโพธิ์ ซึ่งสามารถพบเห็นทั่วไปตามวัดในหมู่บ้านต่าง ๆ ดังกล่าว เมชาวบ้านไม่ได้ยึดงานแกะสลักเป็นอาชีพ โดยมุ่งแต่การประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ พ่อค้าจากตัวเมืองลำปางได้นำดอกบัวขนาดเล็กแกะสลักด้วยไม้ทองหลางเป็นแบบให้ นายดี เถายศ ใช้ไม้โมกมันแกะสลักดอกบัวแทนได้มีการปรับปรุงรูปทรงให้ใหญ่ขึ้นกว่าที่กำหนดให้มา โดยทำออกจำหน่ายตามใบสั่งของพ่อค้า ในขณะนั้นสามารถทำรายได้ดีพอสมควรภายหลังชาวบ้านสนใจออกแบบกันอย่างแพร่หลาย
.........ต่อมานายสุขแก้ว คำพิชัย ชาวบ้านน้ำโท้ง ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจงานแกะสลักมาตั้งแต่ครั้งยังบวชเป็นสามเณร ครั้งพอสึกออกมา ก็พยายามลองแกะสลักดอกบัว โดยได้ปรับปรุงดอกบัวที่เคยทำแพร่หลาย แล้วนำมาแกะเป็นรูปดอกบัวกลีบซ้อน แกะด้วยไม้สัก ซึ่งได้รับความนิยมมาก จนเมื่อไม้สักหายากราคาแพงขึ้นจึงหันมาใช้ไม้จามจุรี หรือไม้ฉำฉาแทน ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ความนิยมการแกะสลักยังนิยมแพร่หลาย ทั้งยังขยายตลาดไปยังต่างประเทศทำรายได้ดีขึ้น ชาวบ้านที่เคยว่างงานในฤดูแล้ง กลับมีงานทำมีรายได้เสริมแก่ครอบครัวเป็นกอบเป็นกำ
.........ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ พบว่ามีการกลึงไม้ในหมู่บ้านตำบลนาครัว แต่เป็นการเคี่ยนหรือกลึงโดยใช้เครื่องกลึงแบบใช้แรงคนถีบให้ไม้หมุน ในสมัยนั้นนิยมกลึงขันน้ำ พานรอง ขันโตก หม้อน้ำ จนถึง พ.ศ. ๒๕๑๒ มีไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน จึงเปลี่ยนจากการใช้แรงคนมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ผลิตงานได้มากขึ้น จนกลายเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน
.........ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นายจันทร์ดี แก้วชุ่ม ส่งงานแกะสลักไม้ เข้าประกวดในงานประกวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไทย ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมอุสาหกรรม ได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นการเผยแพร่งานแกะสลักไม้ให้เป็นที่นิยมมากขึ้น การทำงานในระยะแรกของนายจันทร์ดี แก้วชุ่ม เป็นการทำงานคนเดียว สร้างปางแกะสลักไม้อยู่ภายในบริเวณรั้วบ้านข้างวัดบ้านหลุก
.........ต่อมามีชาวบ้านมารับจ้างทำบางคนสนใจมากมาขอฝึกหัดด้วยนายจันทร์ดียินดีสอนให้เปล่าโดยไม่คิดค่าจ้างพอศิษย์รุ่นแรกจบพอแกะสลักไม้เองได้ก็ไปสอนลูกหลานต่อไป ปี พ.ศ.๒๕๑๖ นายเมืองตื่น แก้วเทียม เป็นผู้แกะสลักรูปช้างเป็นตัวแรกของอำเภอแม่ทะ โดยแกะเป็นรูปช้างยืนบนแท่นไม้ฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านหลุกดีขึ้น ประกอบกับมีจำนวนประชากรที่ย้ายมาจากถิ่นอื่น เข้ามาอยู่ภายในหมู่บ้านหลุกเพิ่มขึ้น ทางราชการจึงแบ่งหมู่บ้านหลุกออกเป็น ๒ หมู่บ้าน โดยหมู่บ้านตอนบนให้ชื่อว่าบ้านหลุกแพะส่วนบ้านหลุกตอนล่างยังคงใช้ชื่อเดิม
สิ่งที่น่าสนใจศึกษาและเรียนรู้
รูปแบบของผลิตภัณฑ์
ลักษณะของผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก บ้านหลุกที่ทำกันในปัจจุบันอาจจำแนกตามรูปแบบได้ ๕ ลักษณะดังนี้
1. ภาพนูนสูงเป็นการแกะสลักภาพในนูนสูงขึ้นมาเกือบเต็มตัวมีความละเอียดของรูปมากกว่าแบบนูนต่ำใช้แกะสลักลวดลายประประกอบงานทั่วไป งานแกะชนิดนี้ จึงต้องให้เกิดความงามทั้งด้านหน้าและส่วนที่เป็นด้านข้างงานแกะภาพนูนสูง คืองานแกะหัวสัตว์ หัวช้างไทย หัวช้างแอฟริกา ฯลฯ
2. ภาพลอยตัว เป็นการแกะสลักไม้ที่มองเห็นได้รอบด้านมักแก้เป็นพระพุทธรูป รูปคน รูปสัตว์หรือรูปตามคตินิยม ฯลฯ งานแกะสลักภาพลอยตัว เช่นแกะสลักรูปช้างไทย ช้างแอฟริกา สิงโต ม้า ฯลฯ
3. งานกลึง เป็นงานขึ้นรูปชิ้นงานด้วยเครื่องกลึงแทนที่จะเป็นสิ่ว และค้อน ผิวงานจะเป็นวงกลมหรือทรงกระบอก ได้แก่ ครก ฉาก ลูกกรงบันได ฐานฉัตรทอง แจกัน
4. แกะสลักแล้วประกอบ เป็นงานที่ชิ้นส่วนหลายชิ้นมาประกอบกัน ส่วนใหญ่จะมีเถาวัลย์เป็นส่วนประกอบด้วย งานลักษณะนี้ได้แก่ นก กระถางดอกไม้ ตระกร้าเถาวัลย์ ดอกทิวลิป รถชอปเปอร์
5. งานฉลุการวาดภาพลงบนแผ่นไม้ แล้วใช้ใบเลื่อย เลื่อยตามลวดลายที่วาดไว้เพื่อตัดไม้ในส่วนที่ไม่ต้องการออก เช่น เชิงชาย น้ำย้อย
สถานที่ตั้ง
บ้านหลุกหมู่ที่ ๖ , ๑๑ , ๑๒ ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง

โดย สุนันทา เจียมเงิน

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)

.........การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"
กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง
......แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

......พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

.....เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

.....นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

......เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก

.....จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

.....ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ ใ

.....ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
ที่มา : oknation.net
โดย อุดม อนุพันธิกุล

ประวัติความเจริญก้าวหน้าแต่ละยุคของอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง

ยุคสร้างทางรถไฟ
..........ยุคนี้เป็นยุคที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไม้สัก เป็นยุคที่คนจีน เข้ามาทำมาหากินตั้งรกรากในตำบลห้างฉัตร กำเนิดโรงสีข้าว มีการสัมปทานไม้สัก มีโรงเลื่อยไม้ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๐ คนจีนเริ่มเข้ามาค้าขายตั้งรกรากอยู่ในตำบลห้างฉัตร ส่วนบ้านห้างฉัตร (หมู่ที่ ๖) การตั้งถิ่นฐานตั้งอยู่ตามลำน้ำ เป็นเขตรอบนอกตัวอำเภอ ไม่มีคนจีนมาตั้งถิ่นฐาน คนจีนจะมาตั้งถิ่นฐานและซื้อที่ดินทำกินจากเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งมีทรัพย์สมบัติมากมาย เป็นคนมั่งคั่งในชุมชน คาดว่ามีคนจีนตั้งถิ่นฐานตั้งแต่รับกาลที่ ๔ โดยอยู่หน้าตลาดห้างฉัตร นิสัยคนจีนชอบทำมาค้าขาย ส่วนคนพื้นเมืองซึ่งมีฐานะยากจนไม่ชอบค้าขาย แต่ชอบที่จะถางป่าเพื่อทำนาและเสียภาษีให้แก่เจ้าขุนมูลนาย ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะร่ำรวย และมีบทบาทเป็นผู้นำชุมชน โดยเปาท้าว (ผู้ใหญ่บ้าน) และเป็นพระยาหรือแคว่น (กำนัน) บางหมู่บ้านเรียกว่า “ขุน”
.........การสร้างทางรถไฟ เป็นการเกิดของชุมชนบ้านสถานี สืบเนื่องจากการสร้างทางรถไฟ ครั้งแรกมีชาวบ้านจากหมู่บ้านลำปางกลาง มารับจ้างสร้างทางรถไฟสายลำปาง-เชียงใหม่ประมาณ ๑ กลุ่ม และต่อมาได้มาตั้งรกรากเพิ่มขึ้น ๑๐ หลังคาเรือน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นต้นมา และตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านสเตย์หนองหมู” เพราะเรียกตามฝรั่งที่มาคุมงานสร้างทางรถไฟ ชาวบ้านขายแรงงานสร้างทางรถไฟวันละ ๒๕ สตางค์ ซึ่งถือว่าเป็นค่าแรงที่สูงมากในสมัยนั้น
ยุคทหารญี่ปุ่นเข้าห้างฉัตร
.........ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้กำเนิดระบบการรักษาพยาบาลแผนใหม่ เศรษฐกิจการเงินสะพัด ในช่วงปลายของยุคสงคราม กำเนิด โรงสูบฝิ่นรัฐบาลและขบวนการค้าฝิ่นเถื่อน อันเป็นที่มาและสืบทอดกันมาในการค้าขายยาเสพติดในปัจจุบัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนปลาย ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕ ทหารญี่ปุ่นเข้ามาเมืองไทย ชาวบ้านได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สาเหตุเพราะทหารญี่ปุ่นมาทำสงครามและสร้างสนามบินที่หมู่บ้านแม่ยิ่ง ตำบลหนองหล่ม ผลพวงของสงครามทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นสนามรบ ทำให้ชาวบ้านหมู่บ้านสเตย์หนองหมูพากันอพยพไปอยู่หลุมหลบภัยในลำห้วยหนองบัว อีกส่วนหนึ่งอพยพหลบภัยที่ห้วยหนองหมู (ปัจจุบันคือ สวนอนันตยศ) พากันทิ้งบ้านเรือน อพยพทำเช่นนี้จนสงครามสงบ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารญี่ปุ่นได้มาอยู่อาศัยบ้านสถานี มาปลูกบ้านพัก ณ ที่แห่งนี้กว่า ๑๐๐ หลังคา ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการค้าขายพืชไร่ และขายแรงงานโดยรับจ้าง เมื่อทหารญี่ปุ่นแพ้สงครามก็ทำอัตวิบากกรรม คือ ฆ่าตัวตาย (ฮาราคิรี) โดยเอามีดคว้านท้องเอาไส้พุงออก เมื่อสงครามสงบชาวบ้านก็กลับถิ่นฐาน

เอกสารอ้างอิง จากหนังสือที่ระลึกห้างฉัตรครบ ๑๐๐ ปี
โดย ดวงสมร ขอบคำ

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประวัติสารทเดือนสิบ

ทำบุญสารทเดือนสิบเมืองคอน เป็นงานบุญเพื่อุทิศส่วนกุศล ให้บรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ยังมีกรรมต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิ ในวันสารทเดือนสิบ ยมบาลจะปลดปล่อยให้ออกมาเยี่ยมลูกหลาน เพื่อมารับส่วนบุญกุศลที่บรรดาลูกหลาน ญาติพี่น้องทำบุญให้ มีเพียงปีละครั้ง คือในวัน แรม ๑๔ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ (ซึ่งจะประมาณ ปลายเดือนกันยายน หรือต้นเดือนตุลาคม) พอถึงวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ต้องกลับไปชดใช้กรรมตามเดิม จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมต่อไป งานบุญสารทเดือนสิบ จะเริ่ม ตั้งแต่วัน แรม ๑๓ ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่าวันจ่าย พ่อค้าแม่ค้าจะนำของมาขาย ที่ตลาดทุกแห่ง จะคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนมาจับจ่ายซื้อของ เพื่อเอาไปจัด หมรับ ต้องใส่ พืชผักผลไม้และที่สำคัญต้องมีขนมเดือนสิบ มีขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซัม ขนมไข่ปลา ข้าวกระยาสารท และขนมอื่นๆ ทั่วไปที่มีขายในตลาด วันแรม ๑๔ ค่ำ เป็นวันยก หมรับไปถวายวัด มีการตกแต่งกันอย่างสวยงามตามฐานะของแต่ละคน หรือหมู่คณะ มีขบวนแห่กันครึกครื้น สวยงาม มีการประกวด หมรับ เพื่อชิงรางวัล ถือเป็นงานประจำปีอันยิ่งใหญ่ของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกว่า "งานเดือนสิบ" วันแรม ๑๕ ค่ำ จะเป็นวันทำบุญอีกเป็นวันสุดท้าย เมื่อถวายเพลพระ และบังสุกุลเสร็จแล้ว ก็จะเอาขนมเดือนสิบ ไปวางไว้ ตามต้นไม้ หรือกำแพงวัด แต่บางวัดได้จัดที่วางไว้ให้ โดยเฉพาะ เรียกว่าการ "ตั้งเปรต" คือให้พวกผีไม่มีญาติ ได้กิน หลังจากการตั้งเปรตและอุทิศส่วนกุศลแล้ว บุคคลทั่วไปเข้าไปแย่งชิงขนมเหล่านั้นได้ เรียกว่า "ชิงเปรต" เป็นอันเสร็จสิ้นการทำบุญสารทเดือนสิบ ความสำคัญ เป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช ที่เชื่อว่าบรรพบุรุษอันได้แก่ ปู่ย่า ตายาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละปีมายังชีพ ดังนั้นในวันแรม ๑ ค่ำเดือนสิบ คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง และจะกลับไปนรกในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ ในโอกาสนี้เองลูกหลานและผู้ยังมีชีวิตอยู่จึงนำอาหารไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที
พิธีกรรม
พิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบ มีดังนี้
๑. การจัดหฺมูรับ เริ่มในวันแรม ๑๓ ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมซื้ออาหารแห้ง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และขนมที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบ จัดเตรียมใส่หฺมฺรับการจัดหฺมฺรับ คือ การบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหาร ขนมเดือนสิบลงในภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น ถาด กาละมัง เข่ง กระเชอ เป็นต้น ชั้นล่างสุดบรรจุอาหารแห้ง ชั้นสองเป็นพืชผักที่เก็บไว้นาน ชั้นสามเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ขั้นบนสุด ประดับขนมสัญลักษณ์เดือนสิบ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมแต่ละชนิดมีความหมายดังนี้ ขนมลา เป็นเสมือนเสื้อผ้าที่ให้บรรพบุรุษใช้นุ่งห่ม ขนมพอง เป็นเสมือนแพที่ให้บรรพบุรุษข้ามห้วงมหรรณพ ขนมกง เป็นเสมือนเครื่องประดับ ใช้ตกแต่งร่างกาย ขนมบ้า เป็นเสมือนเมล็ดสะบ้า ไว้เล่นในวันตรุษสงกรานต์ ขนมดีซำ เป็นเสมือนเงินตรา ไว้ให้ใช้สอย
๒. การยกหฺมูรับ ในวันแรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะยกหฺมฺรับที่จัดเตรียมไว้ไปวัด และนำภัตตาหารไปถวายพระด้วย โดยเลือกไปวัดที่อยู่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยมไป
๓. การฉลองหฺมูรับและบังสุกุล เมื่อนำหมูรับไปวัดแล้ว จะมีการฉลองหฺมฺรับ และทำบุญเลี้ยงพระเสร็จแล้วจึงมีการบังสุกุล การทำบุญวันนี้เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปยังเมืองนรก
๔. การตั้งเปรต เสร็จจากการฉลองหมฺรับและถวายภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านจะนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามบริเวณลานวัด ข้างกำแพงวัด โคนไม้ใหญ่ เรียกว่า ตั้งเปรต เพื่อแผ่ส่วนกุศลเป็นทานแก่ผู้ล่วงลับที่ไม่มีญาติ หรือญาติไม่มาร่วมทำบุญให้ การชิงเปรตจะทำตอนตั้งเปรตเสร็จแล้ว เพราะเชื่อว่าถ้าหากใครได้กินของเหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ จะได้รับกุศลเป็นสิริมงคลแก่ตนเองบางวัดนิยมสร้างหลาเปรต เพื่อสะดวกแก่การตั้งเปรต บางวัดสร้างหลาเปรตไว้บนเสาสูงเพียงเสาเดียว เกลาและชะโลมน้ำมันเสาจนลื่น เมื่อเวลาชิงเปรตผู้ชนะคือผู้ที่สามารถปีนไปถึงหลาเปรตซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงสนุกสนานและตื่นเต้น
โดย จิราภรณ์ กาญจนา

มะขาม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ


มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ให้ประโยชน์ ทั้งให้ร่มเงาแถมผลยังสามารถนำมารับประทานดิบๆ โดยนำมาจิ้มพริกกับเกลือหรือน้ำปลาหวาน บ้างครั้งก็นำมาทำส้มตำ ทำน้ำพริก ฝักที่สุกแล้วนั้นยังนำมารับประทาน มีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน ตัวอย่างสรรพคุณทางยาสมุนไพร รับประทานเพื่อถ่ายพยาธิ ลักษณะ มะขาม เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 8 - 20 เมตร โตช้ามีอายุอยู่ได้เป็นร้อยๆ ปี แตกกิ่งก้านใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 8-12 คู่ขนาดเล็กรูปขอบขนานกว้างประมาณ 4-7 ซ.ม. ยาวประมาณ 1.2-1.8 ซ.ม. มีสีเขียว ดอก จะออกเป็นช่อเล็กๆ บานจากล่างไปบน กลีบดอกช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 10-15 ดอก กลีบดอกสีเหลืองมีปนแดง มีรสเปรี้ยว ผล เป็นฝัก ฝักอ่อนจะมีสรเขียวมีขนเป็นขุยสีน้ำตาลปกคลุม เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ขณะที่ผลยังอ่อนอยู่เปลือกจะติดกับเนื้อ เมื่อแก่แล้ว เปลือกจะแยกออกจากเนื้อเปราะแตกง่าย เนื้อในเมื่อยังอ่อนไปจนถึงโตเต็มที่จะมีสีเขียวอมขาว แข็ง เมล็ดสีเขียว เมื่อผลแก่จัดเนื้อในจะเปลี่ยนเป็นสรน้ำตาลนิ่ม เมล็ดก็เปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลแข็งด้วย ส่วนที่ใช้ ใบอ่อน ใบแก่ ฝักอ่อน ฝักแก่ ดอก เนื้อใน เมล็ดแก่และเนื้อไม้
สรรพคุณทางยาสมุนไพร ใบอ่อน มะขาม นำมาต้มเอาน้ำโขลกศีรษะ แก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ส่วนใบสดก็นำมาต้มน้ำอาบหลังสตรีคลอดบุตรใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น เนื่องจากในใบมะขามสดมีรสเปรี้ยวมีกรดหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้น ใบและดอก ของมะขามนำมาต้มรับประทาน น้ำช่วยลดความดันโลหิตได้ดีมาก มะขามเปียก นำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ จนเป็นลูกกลอน แล้วจิ้มเกลือเพียงเล็กน้อย รับประทานหรือกลืนพร้อมกับน้ำสะอาดเป็นยาระบาย ขับเสมหะ น้ำส้มมะขามเปียก ผสมกับเกลือ ใช้แก้ท้องผูก ใช้แก้พรรดึก โดยการสวนทวาร ใช้พอกตัวได้ โดยผสมกับขมิ้นและน้ำผึ้ง เมล็ดมะขาม นำที่แก่ได้ที่แล้วนำมาคั่วและกะเทาะเปลือกออกนำมาแช่น้ำที่ผสมเกลือป่นรับประทานเป็นยาขับพยาธิ ส่วนเปลือกที่กะเทาะออกังมีประโยชน์อย่านำไปทิ้ง รับประทานเป็นยาแก้อาเจียน แก้ท้องร่วง เป็นยาสมานธาตุ คุมธาตุ เส้นฝอย หุ้มเปลือกมะขามหรือเรียกว่า รก ใช้เป็นยาแก้ ประจำเดือนไม่ปกติ ดื่มน้ำมะขามจะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายโดยเฉพาะคนไข้หรือผู้ที่อาศัยในที่ร้อนอบอ้าว และยังช่วยลดอาการกระหายน้ำได้อีกด้วย คุณค่าทางอาหาร มะขาม มีคุณค่าวิเศษมากจริงๆ นำมาปรุงอาหารไทยๆ ได้หลายอย่างเพียงแค่นำมะขามที่แก่แล้วมาแกะเอาเมล็ดออกปั้นไว้เป็นก้อนๆ ก็จะได้มะขามเปียกเอาไว้รับประทานได้เป็นปีๆ ลองมาพิจารณากันว่า ประโยชน์ที่ได้จากมะขามมีมากมายเพียงใด มะขามเปียก ใช้เป็นเครื่องปรุงในแกงส้ม นำเอามะขามเปียกมาคั้นใส่น้ำแกงส้ม ไม่ว่าจะแกงส้มชนิดใดก็ตาม มะขามเปียก นำมาคั้นผสมกับน้ำพริกเผา ซึ่งจำเป็นมากเพราะน้ำพริกเผาจะขาดมะขามเปียกไม่ได้เลย มะขามเปียก เพียงแค่เอาน้ำมาคั้นใส่ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ก็จะได้ผัดไทยที่อร่อยครบสูตร มะขาม นำใบหรือยอดอ่อนๆ นำมาต้มรวมกับปลาช่อน ปลาสลิดเค็มเป็นต้มโคล้งแสนอร่อย มะขามเปียก นำมาคั้นใส่น้ำตาลทราย และน้ำสะอาดในอัตราส่วนที่เหมาะสมนำไปต้มเคี่ยวกับไฟอ่อนๆ ดื่มกับน้ำแข็งก้อนได้น้ำมะขามดื่มแก้กระหายได้อย่างสดชื่น มะขาม มีวิตามินซีที่ต่อต้านอาการไข้หวัดได้สูง วิตามินเอช่วยในการบำรุงสายตาและการทำงานของระบบประสาท แคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน หรือเหล็กก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เส้นใยอาหารและวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและสารอาหารสำคัญอีกมากมาย
ขอขอบคุณข้อมูล จาก หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัว ifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

โดย เครือวัลย์ ธรรมายอดดี

ทิศทางของพระภูมิ


วันอาทิตย์ พระภูมินอนเอาศีรษะไป ทิศบูรพา (ตะวันออก) เอาเท้าไปทาง ทิศประจิม (ตะวันตก)
วันจันทร์ เอาศีรษะไป ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) เอาเท้าไปทาง ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ)
วันอังคาร เอาศีรษะไป ทิศทักษิณ (ใต้) เอาเท้าไปทาง ทิศอุดร (เหนือ)
วันพุธ เอาศีรษะไป ทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) เอาเท้าไปทาง ทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)
วันพฤหัสบดี เอาศีรษะไป ทิศประจิม (ตะวันตก) เอาเท้าไปทาง ทิศบูรพา (ตะวันออก)
วันศุกร์ เอาศีรษะไป ทิศพายัพ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) เอาเท้าไปทาง ทิศอาคเนย์ (ตะวันตกเฉียงใต้)
วันเสาร์ เอาศีรษะไป ทิศอุดร (เหนือ) เอาเท้าไปทาง ทิศทักษิณ (ใต้)
""""""หากเราจะนำสิ่งของไปถวายพระภูมิ เช่น ดอกไม้ พวงมาลัย อาหาร และ น้ำ ตลอดกระทั่งไปจุดธูปเทียนบูชา หรือปัดกวาดทำความสะอาดศาล ก็ตามจะต้องเข้าทางทิศที่เป็นเท้า จงอย่าเข้าทางด้านศีรษะเป็นเด็ดขาด และเรียกหรือออกชื่อให้นายทั้ง ๓ ผู้ที่เป็นพี่เลี้ยงหรือคนรับใช้ให้นำสิ่งของเหล่านี้เข้าไปถวายพระภูมิอีกต่อหนึ่งก็จะเป็นสิริมงคล ท่านจะอวยพรให้มีความสมบรูณ์พูนผล ซื้อง่าย ขายคล่อง กำไรงาม คิดอะไรก็จะสมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ
""""""แต่ถ้าหากว่าฝืนทิศทาง จะโดยเจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี รู้ก็ดีไม่รู้ก็ดี ท่านก็อาจจะโกรธ จะสาปแช่งหรือบันดาลให้เจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีเรื่องราวเดือดร้อนเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัวอย่างไม่คาดคิด
""""""ถ้าหากว่ามีความผิดพลาด ก็จงจุดธูป ๙ ดอก บอกกล่าวขอขมาต่อท่าน สารภาพความผิดกับท่าน สิ่งที่หนักหนารุนแรง ก็จะค่อย ๆ จางหายไป หรือสิ่งที่หนักจะกลับกลายเป็นเบา หรืออาจจะหายเป็นปกติก็ได้ แล้วแต่ท่าน จะเมตตา

โดย......วีรพันธ์ นันเพ็ญ (หนานนันท์)

มหาบุรุษผู้กอบกู้เมืองเขลางค์


พระยาสุลวะฤาไชยสงคราม เป็นชาวลำปางแต่กำเนิด เกิดที่บ้านปงยางคก แขวงหางสัด (ปัจจุบันคืออำเภอห้างฉัตร) มีอาชีพเป็นพรานป่า มีความสามารถในวิชาคชกรรมเรียกกันว่าหมอโพนเพราะเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ ไม่กลัวช้างป่า ได้ช่วยเหลือ ชาวบ้านไล่ช้างที่มาเหยียบข้าวในนาอยู่เป็นประจำ จนได้รับสมญาว่า “ทิพย์ช้าง” เคยอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดปงยางคก ผลงานของท่านก็คือ ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๗๒ ถึง ๒๒๗๕ ทางล้านนาไทยเกิดการจลาจลมีการแย่งชิงอำนาจกัน ล้านนาไทยต้องตก อยู่ภายใต้การปกครองของพม่าเป็นเวลานานกว่า ๒๐๐ ปี ไม่มีใครสามารถกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้ พม่าได้เข้ามาตั้งกองบัญชาการ อยู่ที่เมืองลำพูน มีท้าวมหายศเป็นผู้บัญชาการ นครลำปางในขณะนั้นได้มีบรรดาพระภิกษุสามเณรจากวัดต่างๆ ที่มีความรู้ความสามารถ ในการสู้รบได้รวมตัวกัน และลาสิกขาบทออกมาช่วยกันต่อสู้กับพม่า แต่สู้ไม่ได้จึงถอยและหนีเข้าไปอยู่ในวัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเป็นวัดที่มีกำแพงมั่นคงแข็งแรง ภายหลังทัพพม่าของท้าวมหายศได้ตามมาและยิงต่อสู้จนได้ชัยชนะ และเข้าไปคุมทัพตั้งมั่น อยู่ในวัด พระธาตุลำปางหลวง
ต่อมาได้มีพระมหาเถระแห่งวัดพระแก้วชมพู ได้ติดต่อกับหนานทิพย์ช้าง เนื่องจากได้ยินกิติศัพท์ว่าเป็นผู้ มีความสามารถ ความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด ให้มาช่วยกันกู้บ้านเมือง หนานทิพย์ช้างได้เล็ดลอดเข้าไปในวัดพระธาตุลำปางหลวง และใช้ปืนใหญ่คาบศิลา ยิงท้าวมหายศตายพร้อมกับขับไล่กองทหารพม่าออกจากนครลำปางได้ หนานทิพย์ช้างจึงได้รับการสถาปนาให้เป็นพระยาสุลวะฤาไชยสงคราม ครองเมืองลำปาง
พระยาสุลวะฤาไชยสงคราม ครองเมืองลำปาง เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๙ และมีโอรส คือ เจ้าฟ้าชายแก้วได้ครองเมืองลำปางและมีโอรส สืบต่อมาอีก ๗ องค์ ซึ่งถือว่าเป็นตระกูลของเจ้าเจ็ดตน เป็นต้นตระกูลที่ปกครองล้านนาไทยในสมัยเป็นประเทศราชของกรุงเทพ เจ้าทั้งเจ็ดตนซึ่งเป็นโอรสของเจ้าฟ้าชายแก้วและเป็นหลานของพระยาสุลวะฤาไชยสงคราม ได้แก่ เจ้ากาวิละ เจ้าคำโสม เจ้าน้อยคำ เจ้าดวงทิพย์ เจ้าหมูหล้า เจ้าคำฝั้น และ เจ้าบุญมา ซึ่งเจ้าทั้งเจ็ดนี้ต่อมาได้ครองเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สืบวงศ์ตระกูล เป็นต้นตระกูลของ ณ เชียงใหม่ ณ ลำปาง ณ ลำพูน และเชื้อเจ็ดตน อันเป็นตระกูล ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของล้านนา ที่ร่วมสมัยกับประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งถึงในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้ยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร และปรับเปลี่ยนการปกครองเป็น มณฑลต่าง ๆ และเป็นจังหวัด เช่น ในปัจจุบันนี้ จึงเป็นอันสิ้นสุดตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร เหลือไว้แต่ความทรงจำ ทางประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าเท่านั้น
แหล่งข้อมูล : http://www.phawatsat.ob.tc/history๑๙.html

โดย อรัญญา ฟูคำ

ออกกำลังกายตอนไหนดี

การออกกำลังกายที่ได้ผลดีสำหรับการลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนคือ หลังคุณตื่นนอนตอนเช้าค่ะ เพราะอะไรมาดูกัน
1. การออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ระบบเผาผลาญของเราทำงานได้ดีกว่าเมื่อเราตื่นนอนตอนเช้า ระบบการเผาผลาญของเรายังทำงานได้ช้า เนื่องจากว่าเมื่อเรานอนหลับ ระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงมากๆ และมันไม่ได้เริ่มต้นทำงานทันทีที่เราตื่น แต่ต้องหลังจากนี้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วทำไมเราไม่กดปุ่มให้ระบบเผาผลาญเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าเลยละ คุณสามารถกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญทำงานหลังจากที่ตื่นได้ด้วยการออกกำลังกายตอนเช้าประมาณ 10 นาที เน้นการเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อร่างกายมีการใช้พลังงาน มีการเกร็งค้างกล้ามเนื้อ ร่างกายจะกระตุ้นการเผาผลาญให้เริ่มทำงานทันที คุณจะรู้สึกได้ว่า ร่างกายคุณเริ่มอุ่นๆ ขึ้น นั้นก็คือสัญญาณว่าระบบการเผาผลาญของคุณเริ่มทำงานมากขึ้นแล้วค่ะ
2. การออกกำลังกายในตอนเช้าหลังตื่นนอน เป็นการเอาชนะข้ออ้างเรื่องเวลา เมื่อคุณออกกำลังกายในตอนเช้าแล้ว ในระหว่างวันจนถึงเย็น คุณอาจจะต้องทำงานยุ่งจนลืมว่าคุณอยากออกกำลังกาย เมื่อเลิกงานตอนเย็น ก็อาจจะต้องเดินทางไปกับเพื่อนๆ หรือเจ้านายอีก ดังนั้นโอกาสที่คุณจะหวังว่าเย็นนี้จะว่างแล้วไปออกกำลังกายแน่ๆ เป็นไปได้ยากมากค่ะ นอกจากว่าคุณจะว่างจริงๆ
3. การออกกำลังกายในตอนเช้าจะทำให้ระบบเผาผลาญทั้งวันดีขึ้นระบบเผาผลาญของร่างกายก็คล้ายๆ กับเตาไฟที่เผาไหม้ค่ะ มันต้องมีการอุ่นเครื่องก่อน การที่เราออกกำลังกายตั้งแต่เช้า เราก็เหมือนกดปุ่มให้ร่างกายเริ่มเผาผลาญตั้งแต่เช้า หากคุณลองออกกำลังกายตอนเช้าหลังตื่นนอนติดต่อกันสักระยะ ประมาณ 5-7 วันติดต่อกัน คุณจะสังเกตเห็นว่า หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าแล้ว คุณจะสดชื่น และไม่ง่วงนอน เหมือนแต่ก่อน และตลอดวัน คุณจะรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นมากกว่าง่วงนอน (ยกเว้นว่าคุณนอนไม่พอนะค่ะ) และอารมณ์ต่างๆ ก็จะดีขึ้นด้วย
4. การออกกำลังกายในตอนเช้าทำให้คุณไปทำงานทัน!เพราะว่าคุณควรจะต้องตื่นก่อนปกติประมาณ 10 นาทีเพื่อมาออกกำลังกายในตอนเช้า ดังนั้นคุณจึงตื่นเช้าไปโดยอัตโนมัติ เมื่อออกกำลังกายเสร็จ คุณจะสดชื่น คงจะนอนต่อไม่ไหวอีก (ยกเว้นว่าจะขี้เกียจ) ทำให้คุณมีเวลาทำภาระกิจในตอนเช้า และเดินทางไปทำงานได้ในตอนเช้า
5. การออกกำลังกายในตอนเช้าช่วยลดความเครียดตลอดวันได้เวลาที่เราออกกำลังกาย ต่อมพิทูอิทารีจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งทำให้คุณรู้สึกดี ยิ่งเรามีสารเอนดอร์ฟินมากในกระแสเลือด เราจะรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น และหากคุณรู้สึกดีตั้งแต่เช้า ตลอดทั้งวันนั้นโอกาสที่คุณจะสะสมความเครียดก็จะน้อยลงไปมาก คุณจะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น
6. การออกกำลังกายในตอนเช้าทำให้ร่างกายแข็งแรงกว่ามีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา เมืองบลูมิงตัน ระบุว่า หากเราออกกำลังกายตอนเช้า จะช่วยทำให้ความดันโลหิตลดลง เพราะความดันหัวใจขณะบีบตัว จะปรับลง 8 จุดใน 11 ชั่วโมง หลังจากออกกำลังกายในตอนเช้า และความดันหัวใจขณะคลายตัวจะลดลง 6 จุด นาน 4 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังกายตอนเช้า ในขณะที่ถ้าไปออกกำลังกายตอนเย็นจะไม่ได้ผลลัพท์ดังกล่าวเลย นอกจากนั้นยังมีผลการวิจัยจากวิทยาลัยการแพทย์กีฬาแห่งชาติ (American College of Sports Medicine) ในอินเดียนาโพลิส ยืนยันว่า การที่เราออกกำลังกายตอนเช้า จะเป็นการกระตุ้นให้ต่อมต่างๆ ที่สร้างฮอร์โมนในร่างกายทำงานสูงที่สุด ระดับเทสโทสเทอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อก็จะสูงสุดในตอนเช้าเช่นกัน ดังนั้นคุณจึงเห็นผลลัพท์ได้เร็วกว่า

ที่มา : adytip.com
โดย เสาวภาคย์ คงแสง

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อร่อยๆกับขนมล้านนา ๗


...................สวัสดีครับพบกันอีกครั้งประจำเดือนนี้เดือนตุลาคม ทุกท่านคงรู้จักขนมที่มีรูต้องกลางกันทุกคนนะครับขนมนั้นคือขนมโดนัทนั้นเอง คงจะเคยท่านกันบางนะครับมีแบบบ้านๆราคาชิ้นละห้าบาทจนถึงอันเกือบร้อยบาท มียี่ห้อดังรู้จักกันทั่วจนถึงขายตามแผงลอยทั่วไป ผมยังจำได้เมื่อสมัยเด็กได้ทานโดนัทที่เขาโรยน้ำตาลใส่ห่อละสิบชิ้นต่อหนึ่งห่อชิ้นละบาท และก้พัฒนามากินโดนัทยี่ห้อดังในห้างตอนอยู่มัธยมต้น แต่พอทำงานทางเหนือก็พบกับขนมโดนัทของเมืองเหนือที่เข้าเรียกขนมนี้ว่า “ขนมวง” หรือออกเสียงทางเหนือว่า “เข้าหนมวง” รูปร่างโดนัทดีๆนี้เองแต่แทนที่จะโรยน้ำตาลทรายกับโรยด้วยน้ำอ้อยแทนและมีขนาดเล็กว่าโดนัทขนาดปกติพอทานครั้งแรกมันอร่อยดีครับ การทำให้เป็นวงและมีรูตรงกลางซึ้งเป็น สัญญาลักษณ์ ของโดนัทก็ใช้ปั้นแล้วม้วนมาต่อกันไม่เหมือนโดนัทที่ใช้เครื่องบีบทำวงครับ เราคุยถึงส่วนผสมและวิธีทำกันนะครับเผื่อท่านจะนำไปทำทานกันเล่นช่วงวันหยุดกันนะครับ
ส่วนผสม
..........๑.แป้งข้าวเหนียว ๑ กิโลกรัม
..........๒.กล้วยน้ำว้าสุก ๕ ลูก
..........๓.ไข่ไก่ ๓ ฟอง
..........๔.น้ำอ้อยป่น ๑ ถ้วย
**ส่วนผสมที่เป็นกล้วยน้ำว้าอาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ ตามความต้องการ เช่น ฟักทอง กล้วยหอม แตงไท เป็นต้น**
วิธีทำ
..........๑. ผสมแป้งข้าวเหนียวและกล้วยน้ำว้าสุก นวดให้เข้ากัน
..........๒. ใส่ไข่ไก่ นวดให้เข้ากัน
..........๓. เติมน้ำทีละน้อย นวดไปเรื่อย ๆ
..........๔. นวดจนส่วนผสมเข้ากัน และติดกันเป็นก้อน
..........๕. หยิบแป้งมาคลึงให้เป็นเส้นยาว แล้วนำปลายมาชนกันเป็นวงกลม
..........๖. ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำแป้งที่เตรียมไว้ลงทอด
..........๗. พอขนมเหลืองทั่ว ตักขึ้นใส่ตะแกรงพักไว้
..........๘. เคี่ยวน้ำอ้อยจนเหนียวได้ที่ หยอดลงบนหน้าขนมวง
เคล็ดไม่ลับ
ก่อนนำขนมลงทอด ให้ใส่ใบเตยลงไปทอดก่อนแล้วตักขึ้น เพื่อให้น้ำมันมีกลิ่นหอม
ข้อมูลจาก
“อาหารพื้นบ้านล้านนา” บนเว็บไซต์ของศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
http://library.cmu.ac.th/ntic/lannafood
รัตนา พรหมพิชัย. (2542). เข้าหนมจ็อก. ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ (เล่ม 2, หน้า 821). กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.