วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชาวพุทธมีหน้าที่ป้องกันพระพุทธศาสนาไม่ให้พระสงฆ์ล่วงละเมิดสิกขาบท

...........มีชาวพุทธจำนวนมากไม่เข้าใจวินัยบัญญัติของสงฆ์ เป็นผู้นำให้พระสงฆ์ต้องอาบัติ คือ โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งพระภิกษุพระสงฆ์ ข้อที่พระพุทธเจ้าห้ามซึ่งยกขึ้นเป็นสิกขาบทในพระปาติโมกข์ มี ๒๒๗ ข้อ ชาวพุทธมีหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนา โดยพยายามป้องกันรักษาพระสงฆ์ ไม่กระทำหรือสนับสนุนส่งเสริมให้พระสงฆ์ล่วงละเมิดสิกขากบท เช่น
............๑. ปาราชิก ๔ โทษสถานหนัก ขาดจากความเป็นพระสงฆ์ คือ เสพเมถุน ลักของเขาฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุษธรรมที่ไม่มีในตน มีภิกษุจำนวนมากเอาสิ่งของของวัดไปเปลี่ยนเป็นเงินเอาเงินของวัดไปใช้ส่วนตัวล้วนขาดจากความเป็นพระไปนานแล้ว ฉะนั้นเวลาจะถวายเงินถวายของราคาแพงของเขียนหรือประกาศให้ชัดเจนว่ามอบถวายวัดส่วนถวายพระสงฆ์เป็นการส่วนตัว ควรถวายแต่เพียงพอแก่การยังชีพ (*อุตริมนุสธรรม แปลว่า คุณอย่างยิ่งยวดของมนุษย์ ได้แก่ ธรรมวิเศษมีการสำเร็จฌาน สำเร็จมรรคผล เป็นต้น)
.............๒. สังฆาทิเสส ๑๓ โทษสถานกลาง มี ๑๓ ข้อ มีอยู่ ๓ ข้อ ที่สตรีพึงรู้และระมัดระวัง
ไม่ทำให้เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ เช่น ภิกษุมีความกำหนัดอยู่จับต้องกายหญิง ๑, พูดเกี้ยวหญิง ๑, พูดล่อลวงหญิงให้บำเรอตนด้วยกาม ๑, ทั้ง ๓ ข้อ ล้วนต้องสังฆาทิเสส พระภิกษุสงฆ์องค์นั้นต้องอยู่กรรมก่อน จึงจะพ้นโทษฉะนั้นสุภาพสตรีจงอย่าไปใกล้ชิดพระสงฆ์เปิดโอกาสให้พระสงฆ์จับต้อง พูดเกี้ยวพูดหลอกล่อฯ
ล้วนเป็นบาปคือชั่วด้วยกัน
.............๓. “ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนควรเชื่อได้มาพูดด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์ (โทษสถานเบา ปลงอาบัติได้) อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใดให้ปรับอย่างนั้น หรือ เขาว่าจำเพาะอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น” ฉะนั้นหญิงไม่ว่าสาวหรือแก่จงอย่างนั่งในที่ลับตากับพระสงฆ์เป็นบาปแก่ตนและพระสงฆ์

โดย สุภาภรณ์ เรือนหล้า นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น