วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีสร้างสุขและทำชีวิตให้ยืนยาว

หัวเราะ เมื่อยามเราหัวเราะความเครียดก็ถูกทำลาย อีกทั้งร่างกายยังหลั่งสารเอนเตอร์ฟินออกมา สารนี้คือสารแห่งความสุข
๒. นอนหลับให้สนิท การนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม วันละ ๗-๘ ชั่วโมง จะส่งผลให้ระบบคุ้มกันของร่างกายแข็งแกร่ง สมองสดใน เซลล์ต่าง ๆ สร้างตัวได้ดี แถมช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย
๓. ทานอาหารเช้าทุกวัน เพราะช่วยกระตุ้นอัตราเมตาบอลิซึมให้เผาผลาญแคลอรี่อย่างขยันขันแข็งตลอดวัน นอกจากนี้ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่อีกด้วย
๔. ทานผักผลไม้ เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ห่างไกลโรคมะเร็ง
๕. ทานเมนูปลาเป็นอาหารจานโปรด แต่ต้องเจาะจงปลาที่มีไขมัน แต่ก็ไม่ต้องกลัวอ้วน ทานปลาซัก ๓ มื้อต่อสัปดาห์ หรือทานน้ำมันตับปลาเป็นอาหารเสริมก็สะดวกดีและมีคุณค่าด้วยกรดไขมันโอเมก้า ๓ จากน้ำมันตับปลาจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและดูแลหัวใจ
๖. ดื่มชา ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหารและโรคหัวใจ
๗. ดื่มไวน์แดงวันละ ๑ แก้ว เพื่อกระตุ้นหัวใจให้เลือดลมเดินได้สะดวก
๘. แปรงฟันและขัดฟันทุกวัน เป็นการลดแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งจะส่งผลให้มีสุขภาพดีขึ้น
๙. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประโยชน์ของการออกกำลังกายมีอยู่มากมายเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว
๑๐. ทำสมาธิ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเครียด ลดความดันเลือดในขณะที่เรากำหนดลมหายใจเข้าลึกๆ นั้นจะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้อย่างเต็มที่
โดย นงนุช ป่าเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

พิธีสืบชะตา

พิธีสืบชะตาเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวล้านนาที่เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุหรือต่อชีวิตของบ้านเมืองหรือของคนให้ยืนยาว มีความสุข ความเจริญ ตลอดจนเป็นการขจัดภัยอันตรายต่างๆที่จะบังเกิดขึ้นให้แคล้วคลาดปลอดภัย พิธีสืบชะตาของจังหวัดน่านได้ยึดถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน ชาวบ้านในทุกหมู่บ้านต่างรู้จักและยึดมั่นปฏิบัติกันอยู่ เพราะเชื่อว่าทุกข์ภัยทั้งหลายที่จะเกิดกับตนอง และญาติพี่น้องจะหมดหายไปชีวิตจะยืนยาวยิ่งขึ้น อีกทั้งเชื่อว่าก่อให้เกิดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่การงานพร้อมที่จะสู้กับชะตาชีวิตต่อไป
พิธีสืบชะตานี้แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. สืบชะตาคน นิยมทำเมื่อขึ้นบ้านใหม่ ย้ายที่อยู่ใหม่ ได้รับยศหรือตำแหน่งสูงขึ้น
วันเกิดที่ครบรอบเช่น ๒๔ ปี ๓๖ ปี ๔๘ ปี ๖๐ ปี ๗๒ ปี เป็นต้น หรือฟื้นจากป่วยหนัก หรือมีผู้ทักทายว่าชะตาไม่ดีจำเป็นต้องสะเดาะเคราะห์และสืบชะตา เป็นต้น
๒. สืบชะตาบ้าน นิยมทำเมื่อคนในหมู่บ้าน ประสบความเดือดร้อนหรือเจ็บไข้ได้ป่วยกันทั่วไปในหมู่บ้าน หรือตายติดต่อกันเกิด ๓ คน ขึ้นไป ถือเป็นเสนียดของหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านอาจพร้อมใจกันจัดในวันปากปี ปากเดือน หรือปากวัน คือวันที่หนึ่ง สอง หรือสามวันหลังวันเถลิงศก เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
๓. สืบชะตาเมือง จัดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนจากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เพราะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะการจลาจลการศึก
หรือเกิดโรคภัยแก่ประชาชนในเมืองเจ้านาท้าวพระยาบ้านเมืองจึงจัดพิธีสืบชะตาเมือง เพื่อให้อายุของเมืองได้ดำเนินต่อเนื่องสืบไป
โดย สุภาภรณ์ เรือนหล้า นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

การจักสานจากหวายและไม้ไผ่

เนื่องจากตำบล สันดอนแก้วมีภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาจึงทำให้มีป่าไม้ไผ่และต้นหวายจำนวนมากจึงทำให้ชาวบ้านได้นำไผ่และต้นหวายที่มีมากมาใช้ประโยชน์ ซึ่งภูมิปัญญาการจักสานจากหวายและไม้ไผ่ได้รับการส่งต่อสืบทอดมาจนถึง นายทา ศรีธิ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ ๗๘ ปี ได้สืบทอดภูมิปัญญาการจักสานจากหวายและไม้ไผ่มาตั้งแต่อายุได้ ๘-๙ ปี โดยมีพ่อเป็นผู้ฝึกสอนและถ่ายทอดมาให้
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากหวายและไม้ไผ่ที่น่าสนใจคือ หวดไม้ไผ่ ที่ใช้สำหรับรองรับข้าวเหนียวก่อนจะนำไปล้าง เพื่อทำการนึ่งต่อไป ซึ่งคนทางเหนือต้องมีติดครัวไว้ทุกบ้าน นอกจากนี้ยังมีตะกร้าที่ทำจากหวายเพื่อใช้ใส่สิ่งของสารพัดประโยชน์หรือทำเป็นกระเช้าของขวัญก็ได้ หรือจะเป็นพานรองใส่ดอกไม้ธูปเทียนเพื่อถวายวัด ล้วนได้มาจากหวายและไม้ไผ่ทั้งสิ้น
เพื่อให้คนรุ่นหลังเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดจึงเห็นว่าเครื่องจักสานจากหวายและไม้ไผ่สมควรเป็นแหล่งเรียนรู้ ของศูนย์การเรียนรู้ชุมชนสันดอนแก้ว เพื่อผู้ที่สนใจได้ศึกษาหาข้อมูลต่อไป
งานจักสาน
๑. ภูมิปัญญาการจักสานหวายและไม้ไผ่
๒. การสืบสานภูมิปัญญาการจักสานหวายและไม้ไผ่
๓. สามารถนำไปประกอบอาชีพและสร้างรายได้

โดย สุนันทา เจียมเงิน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ที่มา : นายทา ศรีธิ บ้านเลขที่ ๕๑/๒ หมู่ที่ ๑ บ้านสันดอนแก้ว ตำบลสันดอนแก้ว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง

ตำรายา ภูมิปัญญาชาวบ้าน……ประโยชน์ดอกกระเจี๊ยบ




กระเจี๊ยบเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงราว 3 – 6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบ ขอบใบเรียบ บางครั้งมีหยักเว้า 3 หยัก ดอกสีชมพู ตรงกลางมีสีเข้มกว่าส่วนนอกของกลีบ เมื่อกลีบดอกร่วงโรยไปกลีบรองดอก และกลีบเลี้ยงจะเจริญขึ้น มีสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดไว้ภายใน การปลูก ใช้เมล็ดปลูก เริ่มปลูกในช่วงปลายฤดูฝน ปลูกโดยการไถพรวนดินก่อน ขุดหลุมและปลูกหลุมละ 2 - 3 เมล็ด ระยะห่าง 0.5 - 1 เมตร เมื่อต้นอ่อนงอกแล้วให้ถอนออกเหลือหลุมละ 1 - 2 ต้น สนใจดูแลน้ำและกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ 1 เดือนแรกของการปลูก กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชเศรษฐกิจตัวหนึ่งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมให้ประชาชนปลูก มีตลาดทั้งในประเทศและนอกประเทศ เช่นประเทศเยอรมัน สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ส่วนที่ใช้เป็นยา กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอก ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเวลาที่เก็บเกี่ยวใช้เวลา 4 เดือน
รสและสรรพคุณยาไทย
กลีบรองดอก กลีบเลี้ยงและใบ มีรสเปรี้ยว ใช้เป็นยากัดเสมหะ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงมีสารชื่อ แอนโธไซยานิน ( Anthocyanin ) จึงทำให้มีสีม่วง และ ประกอบด้วยกรดอินทรีย์หลายชนิด ในปี พ.ศ. 2522 - 2524 นพ. วีรสิงห์ เมืองมั่นและคณะ คณะแพทย์รามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดลได้ศึกษาสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง โดยการใช้ผงกระเจี๊ยบที่ทำมาจากกลีบรองดอก และกลีบเลี้ยงตากแห้งบดเป็นผงขนาด 3 กรัมชงในน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว ( 300 ซีซี ) ดื่มวันละ 3 ครั้งนาน 7 วันถึง 1 ปีรักษาผู้ป่วยโรคนิ่ว และการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ 73 คน พบว่าทำให้ปัสสาวะเป็นกรด ใสและถ่ายสะดวกขึ้นมาก และยังช่วยลดการอักเสบหลังผ่าตัดนิ่วด้วย เห็นได้ว่ากระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะได้ดี
วิธีใช้
ใช้เป็นยารักษาอาการขัดเบา โดยนำเอากลีบเลี้ยงและกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแดดและบดเป็นผงใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา ( 3 กรัม ) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย 250 ซีซี ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาจะหาย คุณค่าด้านอาหาร กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง รสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำเติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบแดงใช้เป็นผักได้ หรือใช้แกงส้มได้รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า " ส้มพอเหมาะ " ในใบมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

โดยอาริยา ยิ้มแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ยาสมุนไพร “รักษาโรคมะเร็ง”

เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันนี้ สมุนไพรไทย มีบทบาทและเป็นที่รู้จักในวงการแพทย์ทุก
แขนง ไม่ว่าจะเป็นแผนไทย แผนโบราณ ล่าสุด ได้เป็นที่ยอมรับจากผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้นำมารักษาผู้ป่วยได้แล้ว เช่นฟ้าทลายโจร ไพล เสลดพังพอน ฯลฯ
โรคมะเร็งก็เป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีสถิติคนไทยไปมักเสียชีวิตด้วยโรคนี้สูงมากซึ่งแต่เดิมเชื่อกันว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ปัจจุบันนี้ หากผู้ป่วยรู้ว่าเป็นในระยะเริ่มแรกก็อาจมีโอกาสหายหรือระงับการแพร่กระจายของโรคได้แล้วด้วยการใช้สมุนไพรไทยนั่นเอง
ปราชญ์ชาวบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น ถือว่าเป็นบุคคลอันดับแรกที่ได้ค้นพบหรือสืบค้น สืบทอดด้านการทำยาสมุนไพรในครอบครัวมานานตั้งแต่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตา ยาย และสืบทอดลูกหลานให้มาจน ทุกวันนี้ จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ทางชนบทมักจะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย และอายุยืนยาวกว่าคนในเมืองเพราะมีสมุนไพรอยู่ใกล้ตัวนั่นเอง
ยาสมุนไพรที่จะแนะ คือ ยาแก้โรคมะเร็ง
ตัวยาประกอบด้วย
๑. ต้นทองพันช่างยาวประมาณ ๑ คืบ ๒ มัด
๒. ข้าวจ้าวเปลือก ๑ หยิบมือ
๓. น้ำผึ้งเดือนห้า ๑ ขวด
วิธีปรุง
๑. นำทองพันช่างล้างน้ำแล้วต้มน้ำกับข้าวจ้าว ๓ ส่วน เหลือ ๒ ส่วน
๒. นำน้ำที่ต้มได้มาใส่ไว้ในขวดขาวให้ได้ ๒ ขวด
วิธีรับประทาน
ดื่มน้ำที่ได้ทั้ง ๒ ขวดในวันเดียว โดยให้ดื่มพร้อมกันกับน้ำผึ้งประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ
ดื่มกินประมาณ ๑ – ๒ เดือน จะเห็นผลอาการป่วยจะดีขึ้นและหายในที่สุด

โดย สุพัชรีย์ เป็งอินตา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ผู้ให้ข้อมูล พระครูวิมลธรรมาภิรม (หลวงพ่อตา) วัดแม่ลืน ตำบลร่องเคาะ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง
ผู้สัมภาษณ์ นางสุพัชรีย์ เป็งอินตา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ปฏิบัติงานประจำอำเภอวังเหนือ
สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง

เรื่องไข่....ไข่



ต้มไข่ที่ร้าวไม่ให้แตก


ไข่เป็นอาหารที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เรียกได้ว่ากินไข่ฟองเดียวได้สารอาหารครบ ๕ หมู่ ทุกครัวเรือนจึงต้องมีไข่ติดบ้านไว้ ไข่มีวิธีปรุงที่ง่ายแสนง่าย และยังปรุงได้ทั้งอาหารคาว และหวาน ไม่ว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดหากไม่ระมัดระวังในการถือ ไข่อาจจะกระทบกันทำให้เกิดรอยร้าว เมื่อเรานำไปต้มไข่ก็จะทะลักออกตามรอยร้าว ดังนั้นก่อนที่เราจะนำไข่ที่มีรอยร้าวไปต้มให้ใส่เกลือป่น ๑ ช้อนโต๊ะ ในน้ำที่จะใช้ต้ม ความเค็มของเกลือจะช่วยปิดรอยร้าวของไข่ไม่ให้เนื้อไข่ไหลออกมา ในการต้มไข่ หากต้องการให้ไข่แดงสุกสวยน่ากินควรใช้เวลาต้มประมาณ ๑๐ นาที

โดย เครือวัลย์ ยอดดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

มาสร้างบุญบารมีด้วยการทำความดีกันเถอะ

บุญบารมีใครจะทำแทนกันไม่ได้ ดังนั้น เราควรทำบุญด้วยตัวของเราเองเพื่อความสุขทางใจเพื่อทำประโยชน์แก่สังคม ซึ่งสิ่งที่เราทำนั้นมันก็ไม่ได้ไปไหน แต่มันกลับทำให้ชีวิตของเรามีแต่ความสุขและยังทำให้ผู้อื่นได้รับความสุขร่วมกับเราไปด้วย บุญบารมีที่เราจะทำนั้นมีหลายอย่าง เช่น
๑. การนั่งสมาธิ อย่างน้อยวันละ ๑๕ นาที อานิสงส์... เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ขึ้น
ทั้งภพนี้ และภพหน้า เพื่อจิตใจที่สว่าง ผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้งาย จิตจะรูวิธีแก้ไขปัญหาชีวิต
โดยอัตโนมัติ ชีวิตจะรุ่งเรือง ไมมีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายจิตแข็งแรง
๒. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่าง ๆ อย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์... เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตเจริญก้าวหน้า แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว เมื่อสวดเสร็จแล้วต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
๓. การทำบุญตักบาตรทุกเช้า อานิสงส์... ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้าไม่ขาดแคลนอาหารตายไปไม่หิวโหยอยู่ในภพนี้
ไม่ขาดแคลนข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
๔. ถวายยารักษาโรคให้วัด อานิสงส์... ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
๕. การทำหนังสือหรือสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน อานิสงส์...
เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวงผู้ให้ธรรมจึงสร้างไปด้วยลาภยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมี
อย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
๖. ให้เงินขอทาน ให้เงินคนที่เดือดร้อน (ไม่ใช่การให้ยืม) อานิสงส์... ทำให้เกิดลาภ ไม่ขาดสาย ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
การสร้างบุญมีวิธีทำอีกมากมาย แต่ที่นำมากล่าวในที่นี้ เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นหากต้องการทราบวิธีการทำบุญเพื่อสร้างบุญบารมีนั้นก็สามารถที่จะศึกษาหาความรู้ได้ในหนังสือธรรมะ
ที่มีให้เราศึกษาค้นคว้าได้อีกวิธีหนึ่งด้วย ลองทำดูบุญบารมีที่ทำจะนำท่านสู่ความสุข ความเจริญ นะคะ

โดย จิราพร มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

มงคลตามราศี

คตินิยมของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธจะไปวัดเพื่อไหว้พระทำบุญขอพรเพื่อเป็นศิริมงคลของตนเอง
และครอบครัว การไหว้พระในวัดแล้วต้องไปทำบุญและเพื่อไหว้พระประจำวันเกิดที่มีปางตามวันแต่ละวัน
ทั้ง ๗ วัน และยังมีความเชื่อว่า เมื่อจะทำสิ่งใดที่เป็นมงคลตามพระประจำวันเกิดแล้ว จะเกิดผลสำเร็จไม่มีอุปสรรค และจะได้ตามที่ใจปรารถนา
วันอาทิตย์ พระประจำวันเกิด พระปางถวายเนตร
ทิศมงคล ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เว้นทิศเหนือ
วันมงคล อังคาร, พุธ, พฤหัสบดี เว้นวันศุกร์
วันจันทร์ พระประจำวันเกิด พระปางห้ามญาติ
ทิศมงคล ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เว้นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วันมงคล พุธ, ศุกร์, เสาร์ เว้นอาทิตย์
วันอังคาร พระประจำวันเกิด พระปางไสยาสน์
ทิศมงคล ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เว้นทิศตะวันออก
วันมงคล เสาร์, พฤหัสบดี, ศุกร์, อาทิตย์, เว้นจันทร์
วันพุธ (กลางวัน) พระประจำวันเกิด พระปางอุ้มบาตร
ทิศมงคล ทิศเหนือ เว้นตะวันตกเฉียงใต้
วันมงคล ศุกร์, พุธ, อาทิตย์เว้นเสาร์
วันพุธ (กลางคืน) พระประจำวันเกิด พระปางป่าเลไลย์
ทิศมงคล ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เว้นทิศตะวันตก
วันมงคล อาทิตย์, จันทร์, เสาร์ เว้นวันพฤหัสบดี
วันพฤหัสบดี พระประจำวันเกิด พระปางสมาธิ
ทิศมงคล ทิศเหนือ เว้นทิศตะวันตกเฉียงใต้
วันมงคล พุธ, ศุกร์, อาทิตย์ เว้นเสาร์
วันศุกร์ พระประจำวันเกิด พระปางรำพึง
ทิศมงคล ทิศตะวันออก เว้นทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
วันมงคล จันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี เว้นพุธกลางคืน
วันเสาร์ พระประจำวันเกิด พระปางนาคปรก
ทิศมงคล ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เว้นทิศใต้
วันมงคล พุธกลางคืน, อังคาร, ศุกร์ เว้นวันพุธ
ศาสนา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ทำความดี การนำหลักธรรมคำสอนในศาสนามาประพฤติ หรือปฏิบัติ คนในสังคมย่อมมีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม และมีความสงบสุขในสังคมนั้น

โดย น้ำทิพย์ มณฑาทอง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

แหล่งข้อมูล : พระธรรมสิงหบุราจารย์. เพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง. กรุงเทพ: ร.พ.รุ่งเรืองวิริยะพัฒนา, ๒๕๔๙.

สะล้อ


สะล้อ เป็นเครื่องสายบรรเลงด้วยการสี ใช้คัน ชักอิสระตัวสะล้อที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงทำ ด้วยกะลามะพร้าว ตัดและปิดหน้าด้วยไม้บาง ๆ มีช่องเสียงอยู่ด้านหลัง คันสะล้อทำด้วย ไม้สัก หรือไม้เนื้อแข็งอื่น ๆ โดยปกติจะ ยาวประมาณ ๖๐ เซนติเมตรลูกบิดอยู่ด้านหน้านิยม ทำเป็นสองสาย แต่ที่ทำเป็นสามสายก็ มีสาย ทำด้วยลวด (เดิมใช้สายไหมฟั่น ) สะล้อมี ๓ ขนาด คือ สะล้อเล็ก สะล้อกลาง และสะล้อใหญ่ ๓ สาย

ขั้นตอนการทำสะล้อ ทำคันหลัก ทำกล่องเสียง ทำคันชัก

วัสดุ

เครื่องมือ
โดย อรทัย ทรงศรีสกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ




วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทบาทของผู้ปกครองกับการเล่นเกมส์ของเด็ก

เรา ๆ ท่าน ๆ คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่า ปัจจุบันเด็กไทยสนใจการเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากกว่าการละเล่นแบบไทย ๆ ซึ่งก็มีสาเหตุหลักจากความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกที่นำเทคโนโลยีการสื่อสารมาสู่ตัวเราถึงบ้าน และถ้าจะแก้ไขโดยการไม่ให้เด็กเล่นเกมจากคอมพิวเตอร์คงไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนัก เพราะถ้าเราไม่ให้เขาเล่นที่บ้าน เขาก็จะไปเล่นนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านเกม หรือในโรงเรียน หรือ ทางมือถือ ซึ่งเราจะคุมเขาไม่ได้ แล้วเราจะแก้ไขได้อย่างไร
ท่านเคยไดยินเพลง Live And Learn ของคุณ กมลา ศุโกศล ไหมคะ เนื้อเพลงบอกว่า

เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน ............. จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่...จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน
* เพราะชีวิตคือชีวิต ...................................เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว .............เกิดขึ้นได้ทุกวัน
** อยู่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน .......................เติมความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน ..........................และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล....จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

นั่นคือความจริงของชีวิตค่ะ ดังนั้นถ้าเราจะเริ่มต้นที่จะแก้ปัญหานี้ ก็ควรที่จะแก้ที่ครอบครัวเป็นอันดับแรก ซึ่งดิฉันของเสนอวิธีการแก้ไขง่าย ๆ ที่สามารถปฏิบัติได้นะคะ
ประการแรก จัดบ้านใหม่ เอาคอมพิวเตอร์มาอยู่ใกล้ท่านมากที่สุด อยู่ในที่ที่เราสามารถเห็นได้ อาจเป็นห้องรับแขก ห้องนอนของคุณพ่อคุณแม่ เพื่อเขาจะไม่กล้าที่จะเล่นเกมหรือทำอะไรที่ลับตา
ประการที่สอง พ่อแม่ลูกมานั่งคุยกันว่าจะจัดเวลาในการเล่นเกมของลูก ลูกเห็นว่าอย่างไร ลูกจะเสนออะไร พ่อแม่ยอมรับได้มากน้อยแค่ไหน จนได้ข้อยุติ (ถ้ามีการเสริมแรงโดยการให้รางวัลหรือการลงโทษในข้อตกลงนั้นได้ก็จะเป็นการดีนะคะ)
ประการที่สาม เมื่อเขาเล่นเกม พยายามเข้าไปอยู่ด้วย เขาไปคุย ถาม หรือศึกษาดูว่าเกมแต่ละเกมประเทืองปัญญาเขามากแค่ไหน มีวิธีเล่นอย่างไร เพื่อจะได้พูดคุยกับเขา ตามเขาทัน
ง่าย ๆ แค่นี้ คุณก็จะได้ลูกกลับมาเป็นของคุณ ไม่ให้เขาอยู่แต่ในโลกส่วนตัวของเขา ซึ่งจะเกิดผลร้ายตามมาหลายประการที่ไม่คาดหวัง ดิฉันเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่ครอบครัวค่ะ เพราะถ้าครอบครัวเข้าใจเขา เป็นกำลังใจให้เขา เขาก็พร้อมที่จะเข้าใจและปฏิบัติตาม เพราะ “ อยู่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน เติมความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ”
โดย มันทนา กันสิทธ์ ผอ.กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนงาน

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นานาประโยชน์จากมะนาว

ในยุคที่ “มะนาว” แพงจนส่งผลให้รัฐบาลต้องนำเข้าไปเป็นวาระในสภา แต่คออาหารไทยก็ยังยอมควักกระเป๋าซื้อมะนาวลูกละ ๑๐ กว่าบาทเพื่อเพิ่มรสกลมกล่อมให้อาหารจานโปรด ไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติให้อาหารจานเด็ดเท่านั้น หากแต่ “มะนาว” ยังมีคุณประโยชน์นานาประการ ดังนี้
“มะนาว” ช่วยระบบการย่อยและสกัดสารพิษ
ผู้หญิงหลายคนต้องต่อสู้กับน้ำหนักตัวที่มากจนเกินพอดีและหนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหานี้ก็คือ “ระบบการย่อยอาหาร” ที่ไม่เป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับสารอาหารที่จำเป็นในการเผาผลาญไขมัน จึงก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในร่างกายและขจัดออกไปได้ยากยิ่ง ซึ่ง “มะนาว” สามารถช่วยแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้เพราะ “มะนาว” อุดมไปด้วยกรดไซตริก ๗-๘ % คือสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกๆ ประเภท หากมะนาวถูกนำมาผสมรวมกับโปรตีนและกรดอื่นๆ ก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
๑. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุกเช้า เพื่อช่วยกระตุ้นให้ระบบการย่อยอาหารดียิ่งขึ้นมะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ และยังมีผลการวิจัยระบุว่าการกินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีสูง จะมีประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหาร และช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ เพราะมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลส์ไขมัน ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
๒. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ ๕ ชนิด เพราะผักและผลไม้ทุกประเภทจะมีปริมาณแคลอรี่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใยและสารอาหารที่ครบถ้วน ช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง
๓. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อหรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลาและเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงตามไปด้วย
โดย........ป้านา

ต้นกำเนิดความหมายของ...สวัสดี

ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๒๕ สวัสดี หมายถึงความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง คำทักทาย หรือพูดขึ้นเมื่อพบหรือจากกัน สวัสดี ในส่วนที่นำมาใช้เป็นคำทักทายนั้น พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้เล่าถึงต้นเหตุเดิมไว้ว่า เจ้าหน้าที่วิทยุกระจายเสียงได้ใช้คำ "ราตรีสวัสดิ์" ลงท้ายคำพูดเมื่อจบการกระจายเสียงตอนกลางคืน โดยอนุโลมตามคำว่า “กู๊ดไนท์” (Goodnight) ของอังกฤษ แต่มีผู้ไม่เห็นด้วย ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง จึงขอให้กรรมการชำระปทานุกรมของกระทรวงธรรมการในสมัยนั้น ช่วยคิดหาคำให้ ตกลงได้คำว่า "สวัสดี" ไปใช้ และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ พระยาอุปกิตศิลปสาร ได้นำไปเผยแพร่ให้นิสิต ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้เป็นคำทักทายเมื่อพบกัน จึงได้แพร่หลายใช้กันต่อมา
ครั้นต่อมาในยุคบำรุงวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของชาติ รัฐบาลในสมัยนั้น ก็เห็นชอบกับการใช้คำว่า "สวัสดี" ในโอกาสแรกที่ได้พบกัน ได้มอบให้กรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) ออกข่าวประกาศเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๔๘๖ ดังต่อไปนี้
“ด้วยพนะท่านนายกรัถมนตรี ได้พิจารนาเห็นว่า เพื่อเปนการส่งเสริมเกียรติแก่ตนและแก่ชาติ ให้สมกับที่เราได้รับความยกย่องว่า คนไทยเปนอารยะชน คำพูดจึงเปนสิ่งหนึ่งที่สแดงภูมิของจิตใจว่าสูงต่ำเพียงใด ฉะนั้นจึงมีคำสั่งให้กำชับ บันดาข้าราชการทุกคนกล่าวคำ “สวัสดี” ต่อกันไนโอกาสที่พบกันครั้งแรกของวัน เพื่อเป็นการผูกไมตรีต่อกัน และฝึกนิสัยไห้กล่าวแต่คำที่เปนมงคล ว่าอะไรว่าตามกัน กับขอไห้ข้าราชการช่วยแนะนำ แก่ผู้ที่อยู่ไนครอบครัวของตนไห้รู้จักกล่าวคำ “สวัสดี” เช่นเดียวกันด้วย” นี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ทางราชการในสมัยนั้นได้กำหนดให้ใช้คำว่าสวัสดี ไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๖ แต่ปัจจุบันนี้เยาวชนไทย เมื่อพบกันแทนที่จะใช้คำว่าสวัสดี กลับนำเอาคำผรุสวาทมาใช้แทน ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นมงคลแก่ตนเองทั้งสิ้น นับเป็นความเสื่อมทางวัฒนธรรมด้านภาษา และจิตใจอย่างมากที่สุด
ในปัจจุบันนี้ มีชาวต่างประเทศมาเที่ยวเมืองไทยจำนวนมาก ได้พยายามยกมือไหว้และกล่าวคำว่า สวัสดี-Sawasdee เพราะเข้าใจวัฒนธรรมของไทยดีขึ้น นับเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยได้ประการหนึ่ง คำว่า สวัสดี ได้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นคำของ ชาตินิยม เป็นวัฒนธรรม อันหยั่งรากฝังลึกลงในจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ อากัปกิริยาของการ สวัสดี ผนวกกับ ความมีน้ำใจไมตรีของคนไทย และรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ ทำให้คำว่าสวัสดี เป็นคำที่มีความหมายมากมายนัก คนไทยควรจะมาร่วมกันดำรงความเป็นไทยด้วยรอยยิ้มแจ่มใสและคำทักทาย “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีครับ”

โดย ทินกร สุริกัน ผอ.กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม

ขอขอบคุณข้อมูลข่าว
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย

๑. การค้นคว้าวิจัย ควรศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาของไทยในด้านต่างๆ ของท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค และประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิปัญญาที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น มุ่งศึกษาให้รู้ความเป็นมาในอดีต และสภาพการณ์ในปัจจุบัน
๒. การอนุรักษ์ โดยการปลุกจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ สร้างจิตสำนึกของความเป็นคนท้องถิ่นนั้นๆ ที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น รวมทั้งสนับสนุนให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือพิพิธภัณฑ์ชุมชนขึ้น เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความเป็นมาของชุมชน อันจะสร้างความรู้และความภูมิใจในชุมชนท้องถิ่นด้วย
๓. การฟื้นฟู โดยการเลือกสรรภูมิปัญญาที่กำลังสูญหาย หรือที่สูญหายไปแล้วมาทำให้มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นฐานทางจริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม
๔. การพัฒนา ควรริเริ่มสร้างสรรค์และปรับปรุงภูมิปัญญาให้เหมาะสมกับยุคสมัยและเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นพื้นฐานในการรวมกลุ่มการพัฒนาอาชีพควรนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อต่อยอดใช้ในการผลิต การตลาด และการบริหาร ตลอดจนการป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
๕. การถ่ายทอด โดยการนำภูมิปัญญาที่ผ่านมาเลือกสรรกลั่นกรองด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบและรอบด้าน แล้วไปถ่ายทอดให้คนในสังคมได้รับรู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า คุณประโยชน์และปฎิบัติได้อย่างเหมาะสม โดยผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ
๖. ส่งเสริมกิจกรรม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายการสืบสานและพัฒนาภูมิปัญญาของชุมชนต่างๆ เพื่อจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
๗. การเผยแพร่แลกเปลี่ยน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง โดยให้มีการเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ ด้วยสื่อและวิธีการต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
๘. การเสริมสร้างปราชญ์ท้องถิ่น โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของชาวบ้าน ผู้ดำเนินงานให้มีโอกาสแสดงศักยภาพด้านภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มีการยกย่องประกาศเกียรติคุณในลักษณะต่างๆ
โดย หัทยา ตันป่าเหียง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ของที่ไม่จำเป็นในการถวายสังฆทาน

ผลการสำรวจรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นในชุดสังฆทาน โดยนิตยสาร “ฉลาดซื้อ” จากการสอบถามความคิดเห็นของพระภิกษุสงฆ์ในการใช้ข้าวของเครื่องอุปโภค บริโภคที่บรรจุมาในชุดสังฆทาน พบว่าส่วนใหญ่เป็นของที่ไม่จำเป็นและมีประโยชน์น้อย ซึ่งของใช้ในชุดสังฆทานเหล่านี้มีจำนวนเกินพอแล้วในวัด การสำรวจครั้งนี้พระสงฆ์ยังได้นำเสนอสิ่งของ ๑๐ รายการที่พุทธศาสนิกชนอาจจะนึกไม่ถึงว่ามีความจำเป็นสำหรับการถวายสังฆทาน คือ
๑. ยาสระผม คนมักคิดว่าพระไม่มีผม ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสระผมแต่จริง ๆ แล้วจำเป็น เพราะส่วนหนึ่งอาจมีคราบไคลและไขมันที่เกาะสกปรกตามหนังศีรษะอยู่บ้าง
๒. มีดโกน ใบมีดโกน พระได้ใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
๓. อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่มีคุณภาพ พระสามารถใช้เป็นของส่วนตัวและเอื้อเฟื้อสำหรับญาติโยที่มาทำบุญได้ด้วย
๔. อุปกรณ์ช่าง ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ที่พระมีโอกาสได้ใช้ในการซ่อมแซม
ต่าง ๆ ในวัดและกุฏิ
๕. อุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ เป็นอุปกรณ์จำเป็น แต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
๖. ข้าวสาร อาหารแห้ง เลือกที่คุณภาพดีไม่ใช่ที่บรรจุในถังสังฆทานที่มักใช้ไม่ได้ ส่วนนี้จะได้ใช้ในการบริจาคหรือนำไปอุปการะผู้ยากไร้ที่มาพึ่งใบบุญของวัดได้ด้วย
๗. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ
๘. หนังสือธรรมะหรือหนังสือแนวทางการดูแลสุขภาพ
๙. ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่คุณภาพดี
๑๐. ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิต หรือมีตราองค์การอาหารและยารับรอง มีฉลากควบคุมระบุวันเดือน ปี ที่หมดอายุ
โดย พรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

การวินิจฉัยโรคจากเล็บ

เนื่องจากเล็บมีการเจริญเติบโตตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เล็บจึงสามารถบันทึกร่องรอยของโรคบนผิวเล็บโดยทั่วไปเล็บที่แสดงอาการโรค สามารถบ่งบอกโรคเกี่ยวกับระบบการหายใจ ระบบการไหลเวียนของเลือด ระบบประสาท ความผิดปกติของกระดูกสันหลังตลอดจนอาการขาดธาตุอาหาร
การวินิจฉัยโรคจากเล็บนั้น โดยทั่วไปแล้วพึงระมัดระวังสิ่งต่อไปนี้
๑. สีของเล็บ โดยทั่วไปเล็บของผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงมักมีสีแดงเรื่อ ๆ (ไม่มีการทาเล็บ) ถ้าร่างกายอ่อนแอ ขาดอาหาร เล็บมักซีดไม่มีสีเลือด สำหรับผู้ที่ได้รับกระทบกระเทือนภายใน นอกจากเนื้อเล็บมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว สีของเล็บมักเหลือง หรือม่วง หรือดำ เป็นต้น ผู้ที่ใกล้ตายปลายเล็บมักมีสีม่วง หรือดำ ปรากฏให้เห็น
๒. ความอ่อนและแข็งของเล็บ โดยทั่วไปเล็บที่มีความยืดหยุ่นมักบ่งบอกถึงความแข็งแรงของสุข-ภาพ ถ้าเล็บแข็งและหักง่าย มักเกิดจากโรคขาดอาหาร ถ้าเล็บบางและอ่อน แสดงว่าขาดแคลเซียม มักเป็นโรคเกี่ยวกับประสาท และโรคเรื้อรังต่าง ๆ และเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ
๓. เล็บเป็นจุดขาวกระจายทั่วเล็บ แสดงให้เห็นว่าร่างกายขาดธาตุแคลเซียม ซิลิคอน หรือมีตัวพยาธิ หรือเหนื่อยง่าย หรือท้องผูกเรื้อรัง เป็นต้น นอกจากนี้การกินยาบางชนิด หรือพิษที่เกิดจากนิโคตินจะทำให้เล็บเป็นจุดขาวได้
๔. เนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมบริเวณโคนเล็บ คนที่มีร่างกายปกติ เนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมนี้สูงเป็น ของเล็บนิ้วแต่ละนิ้ว เนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมดังกล่าวจะบ่งบอกถึงความแข็งแรงของร่างกาย โดยเฉพาะสมรรถนะของระบบหัวใจ และหลอดเลือด ถ้านิ้วของมือทั้งสองข้าง มีเนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมทุกเล็บ และความสูงของเนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมมีอัตราส่วนดังกล่าว แสดงว่าเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ถ้าเนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมใหญ่เกินอัตราส่วนของคนปกติ แสดงว่าเป็นผู้ที่มีความดันเลือดค่อนข้างสูง หรือเป็นอัมพาต ถ้าทั้งสิบนิ้วไม่มีเนื้อเล็บสีขาวครึ่งวงกลมบริเวณโคนเล็บ แสดงว่าเป็นผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง เป็นโรคโลหิตจาง ความดันเลือดต่ำ สำหรับผู้ที่เนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมเล็กและไม่ชัดเจน มักเป็นโรคเกี่ยวกับปอดอักเสบ หืดหอบ กระเพาะอาหารเป็นแผลสรุป เนื้อเล็บสีขาวรูปครึ่งวงกลมบริเวณโคนเล็บถ้ามีพื้นที่ใหญ่ หรือเล็กกว่าปกติ เป็นสิ่งที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติของร่างกาย
โดย อุดม อนุพันธิกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : ๑๙๓ เดือน-ปี : ๐๕/๒๕๓๘ คอลัมน์ : การแพทย์ตะวันออก
นักเขียนหมอชาวบ้าน : วิทิต วัณนาวิบูล

โรคนิ้วล็อก

นิ้วล็อก หมายถึง อาการที่งอข้อนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ เหมือนถูกล็อกเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปที่ต้องใช้มือจับสิ่งของ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องบ่อย ๆ โรคนี้ ไม่มีอันตรายใด ๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวดและใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้
สาเหตุ เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นที่ใช้ในการงอข้อนิ้วมือ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณโคนนิ้วมือ ทำให้เส้นเอ็นหนาตัวขึ้น จะเกิดปุ่มตรงเส้นเอ็น เวลางอนิ้วมือปุ่มจะอยู่นอกปลอกหุ้ม แต่ไม่สามารถเคลื่อนเข้าปลอกหุ้มเวลาเหยียดนิ้วมือกลับไป ทำให้เกิดอาการนิ้วล็อกอยู่ในท่างอ ต้องออกแรงช่วยในการเหยียดจึงจะสามารถฝืน ให้ปุ่มเคลื่อนที่ผ่านปลอกหุ้มเข้าไปได้ การอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมือ มักเกิดจากแรงกด หรือเสียดสีของเส้นเอ็นซ้ำซาก หรือใช้งานฝ่ามือมากเกินไป
อาการ ระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัดโดยเฉพาะตอนเข้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักหนึ่งก็จะกำมือได้ดีขึ้น บางคนจะสังเกตว่าเวลางอแล้วเหยียดนิ้วมือจะได้ยินเสียงดังกิ๊ก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อก คือ เวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน นิ้วที่เป็นบ่อยได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง และนิ้วนาง อาจเป็นเพียงนิ้วเดียวหรือพร้อมกันหลายนิ้ว และอาจเป็นที่มือข้างเดียว หรือทั้ง ๒ ข้างก็ได้ อาการมักจะเป็นมากตอนเช้า
การดูแลตนเอง หากมีอาการเจ็บตรงโคนนิ้วมือ เวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดนิ้วมีเสียงดังกิ๊ก หรือเวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด และควรปฏิบัติดังนี้ ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วที่เป็นนิ้วล็อกเล่น อาจทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากขึ้นได้ ถ้ามีอาการข้อฝืด กำไม่ถนัดตอนเช้า ควรแช่น้ำอุ่นจัด ๆ และบริหารโดยการขยับมือ กำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้นิ้วมือเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น เมื่อต้องกำ หรือจับสิ่งของแน่น ๆ เช่น ไม้กอล์ฟ ตะหลิวผัดกับข้าว ควรใช้ผ้าหรือฟองน้ำพันรอบ ๆ หรือใช้ถุงมือจับ จะช่วยลดแรงกดหรือเสียดสีลง
โดย ลัดดา คิดอ่าน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

๓๐ วิธี ถนอมสุขภาพ ... กายและใจ

๑. หายใจให้ทั่วท้อง
๒. นวดแผนโบราณเพื่อล้างพิษ
๓. ปิดมือถือ ในบางขณะ เพื่อเป็นอิสระ คิดอะไรได้เต็มที่
๔. โนบราซะ ( ผู้ชาย ก็โนอันเดอร์แวร์แทนละกัลล์ )
๕. กินอย่างมีสติ : ไม่กินจนฟุ้งเฟ้อ และกินจนเกินความจำเป็นไม่อื่มเกินและเคี้ยวช้า ๆ คำละ๕๐ ครั้ง
๖. ดื่มน้ำวันละ ๖-๘ แก้ว ดื่มน้ำช่วงเช้าหลังตื่นนอนก่อนแปรงฟันจะมีประโยชน์น้ำที่ผสมน้ำลายในปาก
จะเป็นตัวล้างลำไส้ได้ดีนัก
๗. เตือนตัวเองให้ทานผลไม้วันละ ๓ - ๕ อย่าง หลากสี
๘. อดบ้างก็ได้ การอดอาหารในช่วงสั้น ๆ แม้เพียงวันละมื้อจะช่วยให้อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมได้
พักผ่ อน
๙. อาบน้ำคลายเครียด
๑๐. ขับถ่ายบอกสุขภาพ ปัสสาวะที่ดีต้องใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน ถ้าเข้มต้องดื่มน้ำเพิ่มอุนจิ ต้องนิ่ม สีเหลือง ลอยน้ำได้ ไม่เหม็น หากแข็งต้องเพิ่มผัก ผลไม้ และน้ำ
๑๑. หวีผมบรรเทาปวด ในวันที่เครียด / ปวดหัวตุบๆ ลองแปรงผมด้วยหวีที่มีปุ่มตรงซี่แปรง
๑๒. ยิ้มหน่อย ( ใครชอบเก็ก ไม่ยิ้ม ลองดูนะครับ)
๑๓. มาหัวเราะกันเถอะ ทั้งยิ้มและหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดระดับความเครียด เพิ่มภูมิคุ้มกัน
๑๔. น้ำตาคลายเครียด และช่วยระบายความเครียดได้ (แอบร้องก็ได้ถ้าอาย แต่จริงแล้ว ร้องไห้เป็นเรื่องปกติมนุษย์)
๑๕. เซ็กซ์คือยาวิเศษ
๑๖.นอนหลับเพิ่มพลัง เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟู ตอนนอนร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และ ระบายท็อกซินออกจากสมอง
๑๗. สักงีบหนึ่ง หลับกลางวัน สัก ๑๕ นาที
๑๘. เดินเท้าเปล่ากันบ้าง ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างระบบประสานสัมผัสกล้ามเนื้อ กระดูก และสมอง เดินเท้า เปล่า รับน้ำค้างบริสุทธ์ สนามหญ้า ย่ำก้อน กรวดบ้าง
๑๙. กอด ยาวิเศษประจำบ้าน กอดคนที่คุณรักจะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางช่วยปลดปล่อยความเครียดฃ
๒๐. ช่างคุย กับเพื่อนสนิท คนรู้ใจ
๒๑. ร้องเพลง ขณะร้องร่างกายจะขับคาร์บอนไดออกไซด์ และสูดออกซิเจนได้มากขึ้น
๒๒. ไดอารี่ที่รัก เขียนบันทึกช่วยระบายความในใจ และ ได้ทบทวนชีวิตรู้จักและปรับปรุงตัวเองได้
๒๓. Out Door Please!! ออกใช้ชีวิตกลางแจ้งบ้าง
๒๔. ฝึกสมองทุกวัน อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ ทำให้สมองทำงานมากกว่า ๘๐ % ขณะที่ดูโทรทัศน์ใช้สมอง ๒๐ % อย่าลืมอ่าน หนังสืออย่างน้อยวันละ ๑๕ นาที
๒๕. สงบใจไหว้พระ
๒๖. ชวนกันมาดูดาว
๒๗. ความสุขจากรูปเก่า ... เก่า ....
๒๘. ให้เพื่อได้รับเศษสตางค์ ลองหยอดตู้บริจาคแบ่งสิ่งของให้คนที่ยากจนกว่าเรา ฯลฯ ช่วยให้คุณเข้าใกล้ความสุข
๒๙. ชมคนอื่นเสียบ้าง
๓๐. พูดขอบคุณให้ติดปาก และขอบคุณจากใจจริงร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินทำให้มีความสุข
โดย เสาวภาคย์ คงแสง นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ
ที่มา :เว็บไซต์ http://www.rakball.net/

๑๐ อาหารสุขภาพ ที่สาวๆ ควรมีติดตู้เย็น บท ๑

อาหารถือเป็นปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญกับชีวิตเราเป็นอันดับหนึ่ง ยิ่งปัจจุบันคนทั่วโลกหันมา
ใส่ใจกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น การเลือกทานอาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกายจึงกลายเป็นกระแสที่หลาย ๆ คนทำโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ ที่ต้องดูแลรูปร่างไม่ให้มีไขมันส่วนเกิน ว่าแต่อาหารสุขภาพชนิดใดที่สาว ๆ ควรมีติดตู้เย็นบ้าง เชิญอ่านดูนะจ๊ะ
๑. น้ำเปล่า ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่าย ของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่นโดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ เรียกว่าสาวคนใดอยากสุขภาพดีอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ ๙ แก้ว นะคะ
๒. ผัก เหมาะมากสำหรับการเป็นอาหารในยุคเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปลูกพืชผัก สวนครัวไว้ทานเอง คุณจะได้ทานผักที่สดและปลอดภัยจากสารพิษ รวมทั้งประหยัดเงินในกระเป๋า ในส่วนของคุณประโยชน์ของผักนั้น " ผัก " ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมีใยพืช (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้
๓. ไข่ไก่ หากคุณกำลังหาอาหารไว้ติดตู้เย็นสักชนิดที่ทั้งราคาถูกและมีคุณค่าทางอาหาร เราขอแนะนำ ไข่ไก่ ค่ะ เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ๙ ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่ อีก หลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ ๒๓๐ มิลลิกรัม ต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก
๔. นม ประเภทใดก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นนะคะ เพราะในนมแต่ละยี่ห้อ แต่ละสูตร ก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหาร ควร ดื่มนมวัวเพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง
๕. เนื้อปลา สาวหลายคนมองข้ามการทานเนื้อสัตว์ไปเพราะกลัวอ้วน แต่เราว่าคุณควรเปลี่ยนความคิด ใหม่หลังจากที่ทราบคุณประโยชน์ของ เนื้อปลา เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสารอาหาร คือ กรดโอเมก้า ๓ ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับสาว ๆ ยุคใหม่ ยังไม่จบเพียงเท่าจ๊ะ เดือนหน้ายังมีเพิ่มเติมให้จุใจ อีก ๕ อย่างค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไป
โดย วนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรม

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แมงมัน.......แมลงเศรษฐกิจของชาวบ้าน

แมงมันเป็นสัตว์ที่มีลักษณะแตกต่างกันอยู่ ๓ ลักษณะ ถ้าเป็นแม่แมงมันจะมีลักษณะคล้ายมดคันตัวเล็กๆ สีแดงออกส้ม กัดเจ็บและคันมาก ลักษณะที่สอง คือ ไข่ มีลักษณะคล้ายไข่มดแดง มีสีนวล เรียกไข่แมงมัน อยู่ในดินลึกประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ลักษณะที่สามลูกแมงมันจัดอยู่ในประเภทแมงชนิดหนึ่งมีปีกคล้ายกับลูกมดแดงแต่ตัวใหญ่กว่า ส่วนท้ายจะป่องมาก มีสีน้ำตาลไหม้ บินได้ ชนิดที่เป็นแมลงนี้เรียก "ลูกแมงมัน" ซึ่งมีทั้งตัวผู้และตัวเมียสำหรับตัวผู้ตัวจะเล็กกว่าตัวเมียและสีออกเหลือง ลูกแมงมัน จะบินไปผสมพันธุ์ใหม่และสร้างที่อยู่ใหม่
ถิ่นที่อยู่ แมงมันชอบอาศัยอยู่ตามที่ดินที่เป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ชอบดินแข็งและชอบอยู่ใกล้รากไม้ใหญ่ๆ คล้ายปลวก แต่ไม่ก่อดินหรือพูนดินขึ้นเป็นจอมปลวก ในรอบหนึ่งปีแมงมันจะออกจากรูเฉพาะเดือนพฤษภาคม คือฤดูฝน เพราะน้ำฝนที่ซึมลงดินทำให้ แมงมันอยู่ไม่ได้จะออกจากรูขึ้นมาอยู่บนผิวดิน แมงมันจะไม่ย้ายรังถ้า ไม่ถูกรบกวนจากคน ก่อนที่ลูกแมงมันจะออกมาแม่จะออกมา ก่อนเพื่อขยายรูให้กว้างขึ้น เพราะลูกแมงมันตัวโตกว่าแม่แมงมันจะใช้เวลาขยายรู ประมาณ ๓ ชั่วโมง ลูกแมงมันถึงจะต้องออกมา

แมงมัน เป็นอาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะในภาคเหนือ เป็นอาหารประเภทหายาก เพราะไม่สามารถ เลี้ยงหรือเพาะพันธุ์ได้ ชาวบ้านนิยมรับประทานแมงมันทั้งไข่และลูก วิธีการ ก็คือถ้าเป็นไข่จะขุดเอาไข่แมงมันกันในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนมากชาวบ้านจะไปหาขุดตามป่าละเมาะหรือที่ไกลบ้าน ไม่นิยมขุดไข่แมงมันในบ้านของตนเอง เพราะธรรมชาติของแมงมัน ถ้าไปรบกวนหรือขุดเอาไข่มารับประทาน แม่แมงมันจะหนีไปอยู่ที่อื่นชาวบ้านจะต้องใช้ความจำว่า แมงมันเคยออกจากรูตรงไหน พอถึงเดือนพฤษภาคมทุกปีจะต้องไปดูและเก็บลูกแมงมันเฉพาะตัวเมียมาทำอาหารรับประทาน ส่วนตัวผู้ไม่นิยม รับประทาน เพราะว่าจะออกรสขม ความมันมีน้อยกว่าตัวเมีย แมงมันจะเปลี่ยนสภาพจากตัวเมียเป็นตัวผู้ในช่วง ๕ - ๖ ปี

แมงมัน เป็นอาหารตามฤดูกาลที่หาได้ไม่ง่ายนักจึงเป็นที่ต้องการของชุมชน ที่นิยมรับประทานทั้งไข่ และลูกแมงมัน เฉพาะตัวเมีย ดังนั้นแมงมันจึงมีราคาดีพอสมควรเพราะนอกจากจะมีน้อยแล้วปีหนึ่งๆ จะมีให้รับประทานเพียงครั้งเดียว ราคาจึงแพงมาก แมงมันตัวเมียคั่วแล้ว มีราคาสูงถึง กิโลกรัมละ ๖๐๐ – ๘๐๐ บาท

คุณค่าทางโภชนาการ
ความชื้น ๗๑.๕๖ กรัม โปรตีน ๖๕.๕๔ กรัม
ไขมัน ๑๖.๐๒ กรัม สารประกอบจำพวก เยื่อใย ๗.๐๘ กรัม
เถ้า ๗.๙๑ กรัม คาร์โบไฮเดรต ๓.๑๑ กรัม
น้ำพริกแมงมัน
เครื่องปรุง /ส่วนผสม
๑. พริกแห้งผิงไฟ ๗ - ๑๐ เม็ด หัวหอม ๒ หัว กระเทียม ๑ หัว กะปิปิ้งไฟให้สุก
๑ ช้อนชา
๒. แมงมันคั่วเด็ดปีกออกให้หมด
วิธีทำ
๑. เอาพริกเสียบไม้ ย่างไฟสูง ๆ เรียกว่า "ผิงไฟ" พอกรอบและหอมอย่าให้ดำ
๒. กระเทียม หัวหอมหมกไฟพอสุก แกะเปลือกออก กะปิย่างไฟ
๓. แมงมันคั่ว ทุกอย่างโขลกด้วยกันให้ละเอียด จนมีลักษณะเหนียว เติมน้ำพอขลุกขลิก
การกินน้ำพริกแมงมันจะต้องมีผักลวก เช่น ผักชะอม ยอดสะแล ยอดผักก้านถุง ยอดกระทกรก และยอดกระถิน
---------------------


โดย อรัญญา ฟูคำ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ

ที่มา : แมงมัน มรดกล้านนา สืบสานภูมิล้านนา พัฒนาสู่สากลโลก (http://moradoklanna.com)
ภาพประกอบจาก internet

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สมุนไพรว่านหางจระเข้


สมุนไพร นอกจากจะมีสรรพคุณด้านการรักษาโรคแล้ว แต่ก็ยังมีสมุนไพรหลายชนิด ที่มีสรรพคุณด้านการรักษาโรคผิวหนัง อาการคัน แพ้ ผด ผื่น หรือแม้กระทั้ง สิว ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ใบหน้าของวัยรุ่น วัยที่กำลังเจริญพันธุ์หมดหล่อหมดสวยได้
สมุนไพรอย่างหนึ่งที่พูดถึงกันมากในสรรพคุณของการรักษาสิวก็คือ ว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นสมุนไพรจำพวกที่ใช้ใบ ภายในจะมีวุ้นใส ๆ และยางเหลือง ๆ ยางสีเหลืองตัวนี้ต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้าเผลอเอาไปทาจะแสบร้อน บางคนก็จะแพ้เป็นผิวผื่นคัน ซึ่งถ้าหากอยากทราบว่าเราจะแพ้หรือเปล่า ก็ให้นำว่านหางจระเข้ที่ตัดมาใหม่ ๆ ทางบริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ ๓ นาที ถ้ามีอาการคัน แปลว่าผิวเราแพ้
สรรพคุณ เป็นยาเย็น ช่วยดูดพิษ แก้ปวดแสบปวดร้อนว่านหางจระเข้บำรุงผิว
๑. วุ้นว่านหางจระเข้ ๑ ส่วน ๒. น้ำแครอทคั้นสดๆ ๑ ส่วน
๓. น้ำผึ้ง ๑ ส่วน ๔. น้ำมะนาว ๑/๒ ส่วน
วิธีทำ
นำทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน
วิธีใช้
ทาบนใบหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ ๑๐ นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำ เย็น ทาก่อนนอนทุกคืน
สรรพคุณ
ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า แก้สิว แก้ฝ้า ใบหน้าตกกระ ด่างดำ ใบหน้าจะนวลเนียน ขาวดูดี
รักษาผิว ดูแลให้ เปล่งปลั่ง
นำส่วนใบของว่านหางจระเข้ที่แก่จัด อายุมากกว่า ๑ ปี มาล้างให้สะอาด ตัดเอาวุ้นให้ได้ ๑/๒ แก้ว ใส่ไว้ในชามเล็กๆ ใช้ส้อมยีให้เละ และใช้ปลายนิ้วแตะวุ้นทาให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบตาและริมฝีปาก ระหว่างที่ทาควรใช้ปลายนิ้วค่อยกดนวดไปด้วยทิ้งไว้ประมาณ ๓๐ นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด ผิวหน้าจะสดชื่น เปล่งปลั่งหมั่นทำทุกๆ ๒ - ๓ วัน สูตรนี้ยังใช้รักษาผิวหน้าที่ไหม้เกรียมและถูกแดดเผาอย่างๆได้ผลด้วย
โดย ลักขณา แสงแก้ว นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

ผักเหลียง ผักพื้นบ้านเพื่อสุขภาพ


ผักเหลียง เป็นพืชยืนต้นที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ ๑-๒ เมตร มีใบเรียวยาว สามารถนำยอดของผักเหลียงมารับประทานได้ โดยนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง เช่น ผัดผักเหลียงใส่ไข่ แกงเลียงผักเหลียงใส่กุ้ง หรือ นำมาต้มกะทิ ใช้รองห่อหมก ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานมากของชาวภาคใต้ผักเหลียงจัดเป็นผักพื้นบ้านประเภทไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีมากแถบจังหวัดระนอง ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ โดยเฉพาะจังหวัดระนอง เขาถือเป็นผักประจำถิ่นเลย ถึงขนาดพูดกันว่า ถ้ามาระนองแล้วไม่ได้กินผักเหลียงแสดงว่ายังมาไม่ถึง ว่ากันว่าถ้าจะกินผักเหลียงที่มีรสหวานอร่อยแล้วละก็ ต้องเป็นผักเหลียงที่ขึ้นในร่ม หรือไม่ก็ต้องหลังฤดูฝนไปแล้ว เพราะเป็นช่วงที่ผักเหลียงเริ่มแตกใบใหม่ แหล่งดั้งเดิมของผักเหลียงขึ้นอยู่ตามป่าเขา ที่ราบ บางครั้งก็เห็นขึ้นเคียงข้างกับต้นสะตอและต้นยางด้วยรสชาติที่ออกจืดๆ มันๆ ของผัก เหลียง คนใต้จึงนิยมนำมากินสดเป็นผักเหนาะ กับขนมจีน น้ำยาปักษ์ใต้ และนำไปประกอบอาหารต่างๆ ลักษณะของผักเหลียงที่อร่อย คนใต้เขาแนะนำให้เลือกใบที่เป็นเพหลาด คือไม่อ่อนหรือไม่แก่จนเกินไป ใบจะออกรสหวานนิดๆ และนอกจากความอร่อยแล้ว ผักเหลียงยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยป้องกันโรคตาฟางในตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส อีกด้วยอาหารยอดนิยมจากผักเหลียงที่ขึ้นชื่อของเมืองใต้คือ "ผักเหลียงต้มกะปิ" หรือที่รู้จักกันดีว่า "แกงเคย" กรรมวิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากเลย เพียงต้มน้ำให้เดือด ใส่กะปิ หอมแดงบุบ น้ำตาลทราย พอเครื่องเดือดทั่วกันก็ใส่ผักเหลียงได้เลย ส่วนใหญ่ใส่กันทั้งใบ ไม่เด็ดก้านใบทิ้ง เพราะก้านทำให้น้ำแกงมีรสหวาน พอใส่ผักเหลียงแล้วยกลงได้เลย เคี่ยวนานไปผักจะสลดหมด แกงหม้อนี้ใช้เกลือปรุงรสแทนน้ำปลา แต่อาจเสริมรสชาติความอร่อย ด้วยการใส่กุ้งแห้งหรือกุ้งใหญ่ลงไปด้วย (กุ้งใหญ่ที่ว่านี้ก็คือกุ้งก้ามกรามนั่นเอง) รสชาติเหมือนแกงเลียง ต่างกันตรงที่เครื่องแกงของแกงเลียงจะนำมาโขลกก่อน แล้วจึงใส่ลงในหม้อแกง แต่แกงผักเหลียงนี้ไม่ต้องนำเครื่องแกงไปโขลกนอกจากนี้ยังสามารถนำมาทำอาหารจานผัดที่แสนธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดาอย่าง "ผักเหลียงผัดไข่" วิธีทำจะว่าไปแล้วก็เหมือนพวกหัวไชโป๊ผัดไข่ มะละกอสับผัดไข่ เพียงแต่เราเปลี่ยนเป็นใบเหลียงเท่านั้น รับประทานกันข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไปอีกแบบ แม้แต่ห่อหมกของคนใต้ยังนิยมใช้ใบเหลียงมารองก้นกระทง นอกเหนือไปจากใบโหระพา ผักกาดขาว และใบยออีกด้วย หรือจะนำมาต้มกับกะทิเป็น "ผักเหลียงต้มกะทิ" ก็ได้
โดย นางจิราภรณ์ กาญจนา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ
ที่มา : สถานีทดลองยางระนอง ตำบลลำเลียงอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อร่อยๆกับขนมล้านนา ๒

สวัสดีครับพบกันอีกครั้ง ต่อ จาดบทความเดือนเมษายน ผมคุยเรื่อง“ข้าวแคบ” และยังบอกว่ามีขนมอีกอย่างที่คล้ายๆกัน คือ “ข้าวควบ” ที่ภาคกลางเรียกว่า “ข้าวเกรียบว่าว”
“ข้าวควบ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่า คือ ข้าวเกรียบใส่ นํ้าตาลอ้อย มีรสหวานอย่างข้าวเกรียบว่าว
พอพูดถึงข้าวเกรียบว่าวทำให้นึกถึงสมัยเด็ก จะมีอาแบะหาบเตาไฟเดินขายตามบ้าน แผ่นละบาทเดียวเอง แผ่นข้าวเกรียบมีให้เลือกเป็นรูปสัตว์ต่างๆ สีน่าทาน และแบบธรรมดาทั่วไป ที่ย่างเป็นตะแกรงกลมๆทำด้วยเส้นลวดสาน ตาห่างๆ สองข้าง ปิ้ง สลับไป สลับมา ผมชอบดูมันพองตัว ตัวเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันหาทาน ข้าวเกรียบว่าวแฟนซียากมาก แต่ก็ยังดีที่ปัจจุบันยังมีข้าวเกรียบว่าวแบบแผ่นใหญ่ขายบาง แต่มาอยู่ทางเหนือจะหาทานต้อง ช่วงเทศกาลเท่านั้นโดยเฉพาะช่วงเทศกาลงานปี๋ใหม่เมือง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านว่างเว้นจากภารกิจในไร่นาหลังการปลูกใกล้ประเพณีใหญ่จะมาถึงชาวบ้านรอคอยที่จะได้เฉลิมฉลองปี๋ใหม่เมืองเพื่อส่งสิ่งเลวร้ายให้หมดไปกับปีเก่า พร้อมต้อนรับสิ่งใหม่ที่ดีงามเข้ามาแทนที่ ชาวบ้านต่างตระเตรียม สิ่งของเครื่องใช้ ปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนให้สะอาดเตรียมอาหารอร่อยไว้เลี้ยงผู้คนที่แวะมาเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะของว่างหรือขนมสำหรับเด็ก ข้าวควบเป็นขนมและของว่างที่ทำง่ายๆและอร่อย
วิธีทำข้าวควบ
๑. ล้างข้าวสารเหนียวให้สะอาด แช่ไว้ 1 คืนแล้วนำมานึ่งจนสุก


๒. ตำข้าวเหนียวในครกหรือครกกระเดื่องจนข้าวนั้นละเอียดเหนียวเป็นแป้ง
๓. นำแป้งที่ได้มาแหนะ คือการกดให้แบน (ทำให้เป็นแผ่นบาง ๆ) ด้วยกระบองไม้หรือไม้กลึง โดยใช้ถาดรองด้วยใบตองกล้วย นำน้ำมันพืชผสม ไข่แดงใส่ถ้วยเล็ก ๆ ไว้ทาใบตองกล้วยที่เตรียมไว้หรือใช้แตะมือยาม แหนะข้าวควบเพื่อไม่ให้ข้าวเหนียวติดมือติด ทำเป็นรูป วงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖-๑๐นิ้ว อีกวิธีหนึ่งคือนำแผ่นพลาสติกตัดเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖-๑๐ นิ้ว หยิบแป้ง กดให้แบน คลึงแป้งให้เป็นวงกลม คว่ำแผ่นแป้งลงบนแผ่นพลาสติกใหญ่
๔. นำไปตากให้แห้ง(ควรกลับแผ่นแป้งให้แห้งเท่าๆกัน เมื่อแห้งดีแล้วเก็บซ้อนกันใส่ใน ก๋วย (เข่ง)ไม่ควร ใส่ถุงพลาสติกเพราะจะขึ้นราได้เพราะความชื้น
วิธีปิ้งข้าวควบ มีหลายวิธี
- ปิ้งที่ละแผ่น วิธีแบบนี้ ใช้ไม้ปิ้งที่มีลักษณะเป็นไม้ไผ่ผ่าหนาตามปล้องประมาณ๔นิ้วยาว๖๐เซนติเมตรและผ่า ปลายเป็นซี่ๆ๔-๕ซี่(รูปร่างคล้ายมือ)ใช้ 2อันมือซ้ายขวา ปิ้งแผ่นแป้งโดยพลิกไปมาจนกว่าจะเหลือง อาจต้องใช้ประสบการณ์และความชำนาญในเวลาปิ้ง เพราะถ้าปิ้งไม่เป็นแผ่นแป้งจะไม่พองขยายและจะไม่สุก และไหม้ในที่สุด
- ปิ้งแบบหลายแผ่น วิธีแบบนี้ ใช้ไม้ไผ่สานขัดแตะขนาดใหญ่พอที่จะวางพาดบนเตาไฟได้ โดยเตาไฟ นั้นอาจจะก่ออิฐสี่ด้าน สูงประมาณหนึ่งศอกแล้วก่อไฟข้างใน หรืออาจใช้ไม้ทำเป็นเสาตั้งแตะก็ได้ โดยจะต้องคุมความร้อนของถ่านให้ได้ความร้อนที่เหมาะสม เพราะถ้าหาก ไฟร้อนน้อยไปข้าวควบก็จะไม่ขยายตัวเท่าที่ควร และหากไฟแรง เกินไปก็จะทำให้ข้าวควบนั้นไหม้เสียก่อน
เคล็ดไม่ลับในการปรุง
ระหว่างที่ตำ ข้าวเหนียวนั้นจะต้องมีคนที่คอยคนข้าวไม่ให้ติดครก โดยจะชุบมือลงในน้ำข้าวหม่าแล้วลูบไปบนเนื้อข้าวที่กำลังตำและผิวขอบครก เพราะ จะทำให้ข้าวควบนั้นขึ้นฟูและไม่แตกร่วนเมื่อปิ้งไฟเสร็จแล้ว




เกร็ดความรู้ภูมิปัญญา
การทำข้าวควบ เป็นการการเอามื้อ ตอบมื้อ เป็นการลงแขกช่วยกันทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการปิ้งข้าวควบที่ชาวบ้านเรียกว่า หิง ก็จะมีการเอามื้อ ตอบมื้อกัน มักจะเป็นช่วงเช้ามืดที่อากาศไม่ร้อน ผู้ชายจะก่อไฟให้ได้ถ่าน แล้วใส่แตะที่สานไว้แล้วนำข้าวควบหิงจนสุก ส่วนมากการหิงข้าวควบจะเป็นภาระหน้าที่ของพวกผู้ชาย ชาวบ้านจะช่วยกันทำทีละบ้าน มีการนัดแนะกันก่อนว่าวันไหนใครจะทำ ไม่ให้ซ้ำกัน เพราะจะได้มีคนไปช่วยมาก จะทำกันในช่วงเช้า บ้านที่จะทำข้าวควบก็จะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์สำคัญ ได้แก่ ใบตองกล้วย ถาด ใบตองตึง ไว้สำหรับผู้ที่จะมาช่วย เป็นอุปกรณ์ประจำตัวของแต่ละคน สิ่งเหล่านี้เมื่อใช้เสร็จแล้วเพื่อนบ้านสามารถหมุนเวียนเปลี่ยนกันยืมไปใช้ต่อได้ เมื่อไปถึงบ้านผู้ที่จะทำ

สวัสดีครับ
เขียนโดย นายชิตพร พูลประสิทธิ์ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ

แหล่องอ้างอิง
รัตนา พรหมพิชัย. (2542). ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ
เว็บไซต์ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เว็บไซต์ของศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เว็บไซต์ วิถีชาวบ้าน โดย ศรีจันทรัตน์ กันทะวัง ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลำปาง เขต